สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท ปรับทบทวนอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 17 ประเทศ เป็น 2.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าการประเมินก่อนหน้านี้ที่ 2.6% และสูงกว่าเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กำหนดไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา
ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อที่ได้รับการปรับทบทวนล่าสุดนี้ ขยายตัวขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 2.4% ในเดือนก.พ. และสูงกว่าระดับ 1.6% ในปีที่แล้วอย่างมาก
รายงานระบุว่า ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนพุ่งสูงขึ้น โดยในเดือนมี.ค. ราคาพลังงานทะยานขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่เงินเฟ้อยูโรโซนอยู่เหนือเพดาน 2% ของอีซีบี และเป็นการเปิดโอกาสให้อีซีบีใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพของราคา แต่ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์เตือนว่า การตัดสินใจดำเนินการใดๆอย่างรีบร้อนอาจทำให้ประเทศสมาชิกยูโรโซนที่มีหนี้สูงต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
โดยประเทศที่ประสบกับวิกฤตหนี้สาธารณะอย่าง กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ยังคงประสบกับความยากลำบากในการดึงเศรษฐกิจของประเทศให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอย ซึ่งนโยบายการเงินที่เข้มงวดจะยิ่งทำให้ประเทศเหล่านี้เดือดร้อนมากขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรป (อียู) ที่ประกอบด้วยสมาชิก 27 ประเทศทั้งที่ใช้เงินยูโรและไม่ใช้เงินยูโร ปรับตัวขึ้นแตะ 3.1% ในเดือนมี.ค. จากระดับ 2.9% ในเดือนก.พ. และระดับ 2.0% ในเดือนมี.ค.ปีก่อน
ในบรรดาประเทศสมาชิกอียูนั้น ไอร์แลนด์มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุดที่ 1.2% ขณะที่โรมาเนียมีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดถึง 8.0%