ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ระบุในรายงานแนวโน้มการพัฒนาของเอเชียประจำปี 2554 ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ อาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ทั้งนี้ เอดีบีเตือนว่า หากราคาอาหารและน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% ในปี 2554 และไม่ปรับตัวลดลงในปี 2555 เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย จะลดลงรวมกันราว 0.7% ซึ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดคือสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน โดยคาดว่าเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเหล่านี้จะหดตัวลงถึง 1.0%
นอกจากนี้ เอบีดีระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นเป็นผลมาจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ไม่ใช่ราคาอาหาร โดยเฉพาะจีนและอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เอดีบีกังวลว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมืองของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในอาหรับยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยระบุว่าหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และญี่ปุ่น ต้องพึ่งพาน้ำมันจากประเทศอาหรับอย่างมาก
เอบีดีระบุว่า ทันทีที่ญี่ปุ่นเริ่มดำเนินการบูรณะฟื้นฟูประเทศหลังเกิดแผ่นดินไหว ยอดการนำเข้าน้ำมันของญี่ปุ่นจะพุ่งขึ้นทันที จากปัจจุบันที่นำเข้าประมาณ 4.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเฉพาะหากญี่ปุ่นตัดสินใจเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากนิวเคลียร์ไปเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่า ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 10% จะทำให้การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทั่วโลก ลดลง 0.2-0.3% ซึ่งจนถึงขณะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปแล้ว 20% ดังนั้นจะส่งผลให้จีดีพีทั่วโลกลดลง 0.4-0.6% สำนักข่าวซินหัวรายงาน