นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐบาลจะถูกนักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพงที่ล่าสุดยังคงตรึงราคาดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ด้วยการใช้มาตรการทางภาษีมากำกับดูแล โดยยืนยันว่าแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ และไม่ได้ยึดแนวทางนี้เพื่อหวังผลการเมือง หรือเพียงเพื่อต้องการรักษาฐานคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์
"ขณะนี้เราไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ จากการที่เศรษฐกิจร้อนแรง เศรษฐกิจปีก่อนขยายตัวเกือบ 8% แต่ปีนี้คาดการณ์อยู่แล้วว่าจะชะลอตัวลง เพราะฉะนั้นปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้อยู่ที่การจับจ่ายใช้สอยที่มากเกินไป...เรื่องการวิจารณ์กลไกตลาด ผมบอกว่าจะเก็บภาษีหรือจะเอาเงินกองทุนน้ำมันฯ มันก็บิดเบือนกลไกตลาดทั้งนั้น แต่ขณะนี้เข้าสู่ระดับใกล้เคียงกลไกตลาดด้วยซ้ำ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จากปัญหาน้ำมันแพงนั้นรัฐบาลประเมินแล้วว่าน่าจะเป็นสถานการณ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่อุดหนุนราคาดีเซลแล้วปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด จะส่งผลให้สินค้าหลายรายการทยอยปรับขึ้นราคาตามไปด้วย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาแพงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับทราบข้อสรุปจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจแล้ว ทั้งนี้รัฐบาลจะยังไม่ใช้แนวทางตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ที่จะทำโครงการปุ๋ยธงฟ้า รวมถึงการชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยให้แก่เกษตรกร แต่อย่างไรก็ดีจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้(20 เม.ย.)เพื่อหาข้อสรุป
อนึ่ง กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ด้วยการจัดทำโครงการปุ๋ยธงฟ้าที่จะให้เอกชนนำปุ๋ย 1 แสนตัน มาจำหน่ายแก่เกษตรกรในราคาเดิม รวมทั้งเสนอขออนุมัติงบประมาณ 570 ล้านบาท เพื่อนำไปชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยในอัตรา 50% หรือประมาณตันละ 1,500 บาท ให้กับผู้ผลิตปุ๋ยเคมี เพื่อให้ผลิตปุ๋ยมาจำหน่ายแก่เกษตรกรจำนวน 3.8 แสนตัน