นายนิยม ไวยรัชพานิช ประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและค้าชายแดน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ห่วงสถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาจะยืดเยื้อจนถึงขั้นต้องปิดด่านช่องสะงำและช่องจอม ซึ่งจะจะส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนที่บริเวณแนวชายแดนอย่างมาก
"ท่าทางเหตุการณ์จะยืดเยื้อ โดยเฉพาะทางสุรินทร์ บุรีรัมย์ ตอนนี้การค้าทางนั้นปิดสนิทหมด เสียหายเดือนละประมาณ 100 กว่าล้านบาท คิดเป็นประมาณ 3% ของการค้าตามแนวชายแดนทั้งหมด แต่ถ้ายืดเยื้อจนกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงเกรงว่าผลกระทบที่ตามมาจะมากกว่านั้น"นายนิยม กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชามีการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภค-บริโภคจากไทยมาก สินค้าที่ใช้อยู่ในกัมพูชากว่า 90% นำเข้าจากไทย ผ่านด่านการค้าหลายที่ เช่น จ.สระแก้ว จ.ตราด จ.จันทบุรี ทุกด่านรวมกันปีละประมาณ 8 หมื่น - 1 แสนล้านบาท แต่ก็ยังน้อยกว่ามาเลเซียที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยผ่านด่านสะเดา ปีละประมาณเกือบ 2 แสนล้านบาท
นายนิยม กล่าวว่า การค้าแนวชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หลักๆ อยู่ที่ด่านคลองลึก จ.สระแก้ว ปีละประมาณ 2.8 - 3 หมื่นล้านบาท รองลงไปคือ จ.ตราด ซึ่งเป็นการค้าทั้งทางบกและทางเรือ ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท, ด่านชายแดนบ้านแหลม และบ้านผักกาด จ.จันทบุรี รวมกันประมาณ 4 - 5 พันล้านบาท
ซึ่งหากสถานการณ์ลุกลามยืดเยื้อ กัมพูชาก็อาจจะหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม จีน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา เกาหลี ฟิลิปปินส์ มาเลเซียแทน ซึ่งทุกวันนี้กัมพูชาก็มีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว เช่น เรื่องข้าว
"อย่าให้ลุกลาม ถ้าจบยากจนต้องปิดด่านก็สูญการค้าหายไปซีกนึงเลย หายไปแล้วกลับมายากด้วย ทั้งของกินของใช้ วัสดุก่อสร้าง น้ำมัน สินค้าเกษตรบางชนิดที่เข้าทางชายแดนกัมพูชาทุกด่าน ถ้ากัมพูชายกเลิกนำเข้าสินค้าจากไทย ก็ยังสามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆได้เยอะแยะเลย"นายนิยม กล่าว