รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่รัฐสภาในช่วงปลายสมัยของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนที่จะมีการประกาศยุบสภาในช่วงต้นเดือน พ.ค. และก่อนเข้าสู่วาระการประชุมน่าจะมีการหารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่ารัฐบาลจะกำหนดท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร และจะมีการทบทวนความสัมพันธ์ต่อกัมพูชาหรือไม่
กระทรวงการคลัง เสนอข้อมูลการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์โดยประเด็นสำคัญ คือ จะเก็บภาษีรถยนต์ตามค่าการปล่อยมลพิษหรือคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาในอากาศ ซึ่งจะมีผลทำให้ราคารถยนต์ปรับขึ้นคันละ 6-7 หมื่นบาท
นอกจากนี้ จะเสนอร่าง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(PPPs) ที่จะนำมาใช้แทน พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมการงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535(พ.ร.บ.ร่วมทุน) เพื่อให้การร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนเกิดความคล่องตัวขึ้น
กระทรวงคมนาคม เสนอโครงการจัดหารถเมล์ให้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) จำนวน 1,957 คัน ประกอบด้วย รถเมล์ธรรมดา 1,579 คัน รถเมล์ปรับอากาศ 378 คัน เพื่อทดแทนรถโดยสารเก่าที่มีอายุใช้งานเกิน 17 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ(กนร.) ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท
รวมถึงเรื่องของระบบตั๋วร่วมที่จะเสนอเพื่อตั้งสำนักงานพัฒนาระบบตั๋วร่วม ที่ช่วงแรกอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ก่อนจะพัฒนาไปสู่หน่วยงานที่เหมาะสมในระยะต่อไป
นายไตรรงค์ สุวรรณคิรี รองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ด้วยการจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงในปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 ซึ่งเป็นสูตรที่เกษตรกรนิยมใช้ เท่ากับราคาส่วนต่างราคาปุ๋ยที่ปรับขึ้นจริง คาดว่าจะใช้เงินชดเชยเบื้องต้น 5,000-6,000 บาท
กระทรวงพาณิชย์ เสนอที่ประชุมครม.ของบ 900 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดงานมหกรรมลดค่าครองชีพคนไทย จัดหาสินค้าราคาถูกมาจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง
นอกจากนี้จะรายงานถึงสถานการณ์ราคาสินค้า อาทิ ไข่ไก่ ไก่เนื้อ และสุกร ที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งมาจากการพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในระบบ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอขอปิดกิจการบริษัท ทีพีซี ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด รวมถึงของบประมาณราว 3,000 ล้านบาทนำมาดำเนินการชดเชยสมาชิกบัตรจำนวน 2,575 รายการ และเสนอขอจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาตาม พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2553 และการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จ.เลย, การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวิตศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร และแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยา และพื้นที่เชื่อม
กระทรวงคมนาคม เสนอขออนุมัติงบประมาณสำหรับฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่จังหวัดภาคใต้เร่งด่วนเพิ่มเติม สำหรับกรมทางหลวง(ทล.)จำนวน 39 โครงการ งบประมาณ 499.8 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท(ทช.) 46 โครงการ งบประมาณ 300 ล้านบาท รวมถึงแผนการบริหารจัดการตั๋วร่วมที่ได้เสนอขอจัดตั้งสำนักงานพัฒนาบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยในระยะแรกมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เป็นศูนย์กลางในการจัดการข้อมูล
นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่-อำเภอหางดง และมาตรการให้ความช่วยเหลือบริษัท ฮัทชิสันแหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด ผู้รับสัมปทานลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบกิจการท่าเรือ เอ 3, ซี 1, ซี 2, ดี 1, ดี 2 และ ดี 3 ในเขตท่าเรือแหลมฉบัง(ทลฉ.) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)
คณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(คชอ.) เสนอขออนุมัติงบกลาง 2,100 ล้าบบาท ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคมของบซ่อมแซมสนามบินจังหวัดนครศรีธรรมราช 74 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย 250 ล้านบาท กรมทางหลวง 719 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 300 ล้านบาท กรมการศาสนา 79 ล้านบาท ทหารพัฒนา 50 ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 32 ล้านบาท กรมพัฒนาที่ดิน 25 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ 447 ล้านบาทและกรมชลประทาน ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง SP2 จำนวน 800 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เสนอทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติ ครม.เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม และขออนุมัติดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ และขอผ่อนผันมติ ครม.ในการเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่หนึ่ง