น.ส.พิกุล ทักษิณวราจาร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและย่อย (SMEs) ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ แฟรนไชส์, ขายตรง และโลจิสติกส์ ยื่นขอเงินสินเชื่อตามโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs วงเงิน 2,000 ล้านบาท เข้ามาแล้วจำนวนมาก โดยแบ่งเป็นธุรกิจโลจิสติกส์ยื่นขอ 1,400 ล้านบาท ธุรกิจแฟรนไชส์ 200-300 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจเป็นอย่างดี
สำหรับหลักเกณฑ์การขอสินเชื่อโครงการนี้ จะต้องกู้เงินผ่านธนาคารรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs Bank) โดยมีเงื่อนไขให้กู้รายละตั้งแต่ 3 หมื่นบาทถึง 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ MLR-3 ใน 2 ปีแรก และปลอดชำระเงินต้นในปีแรก ซึ่งเป็นโครงการสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs รอบ 2 หลังจากก่อนหน้านี้ครม.ได้อนุมัติ 3,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในประเทศและต่างประเทศยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก
น.ส.พิกุล กล่าวต่อว่า กรมฯได้จัดโครงการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์สู่มาตรฐานสากล เพื่ออบรมให้ความรู้และเชื่อมโยงผู้ประกอบการในและต่างประเทศ โดยในปี 54 ตั้งเป้าหมายเพิ่มผู้ประกอบการแฟรนไชส์มาตรฐานสากลอีก 50 ราย จากปัจจุบันที่มีผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์คนไทยกว่า 500 กิจการ มีมูลค่าตลาดรวม 161,016 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี สำหรับเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วง 4-5 วันนี้ ยังไม่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการไทยในกัมพูชาว่าได้รับผลกระทบหรือขอให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลือ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการทำธุรกิจในกัมพูชา เพราะธุรกิจไทยส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวง