นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG และก๊าซ NGV สำหรับภาคครัวเรือนและขนส่ง รวมทั้งราคาขายปลีก NGV ออกไปถึงสิ้นเดือน ก.ย.54 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมิ.ย.54 เป็นสิ้นเดือนกันยายน 2554
โดยราคาขายปลีก NGV จะถูกตรึงไว้ที่ 8.50 บาท/กก. และยังคงอัตราเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรา 2 บาท/กก.จนถึงระยะเวลาดังกล่าวเช่นกัน
สำหรับราคาขายปลีก LPG ในภาคอุตสาหกรรม ให้ทยอยปรับราคาขายปลีกให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันโดยเริ่มตั้งแต่ ก.ค.54เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาท/กก. ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ไปจัดทำแนวทางการปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) พิจารณาเห็นชอบ และเสนอต่อ กพช. ต่อไป
นพ.วรรณรัตน์ กล่าวด้วยว่า กพช.ยังมีมติเห็นชอบการปรับเลื่อนกำหนดโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553-2573 (PDP 2010) ออกไป 3 ปี จากเดิมแผนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกจะเข้าระบบได้ในปี 63 เลื่อนเป็นปี 66 ทั้งนี้สืบเนื่องจากสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์(สพน.) อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงตามผลการประเมินล่าสุดของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ประกอบกับเกิดเหตุการณ์ระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการยอมรับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของคนไทย รวมทั้งท่าทีของรัฐบาลในหลายประเทศก็ต้องการทบทวนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย
การปรับเลื่อนกำหนดการเข้าระบบของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงแรกออกไปนี้ จะทำให้มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์บรรจุอยู่ในแผน PDP 2010 รวม 4 โรง จากเดิม 5 โรง เพราะการเลื่อนโรงไฟฟ้าฯ โรงแรกออกไป 3 ปี ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงที่ 5 อยู่นอกกรอบของแผน PDP 2010
ในการนี้ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้ สพน. รับไปดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการเตรียมความพร้อม และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ กพช.ได้พิจารณาการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย และเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าประเทศไทยปี 2554-2558 เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยให้มีการประกาศใช้ค่าไฟฟ้าตั้งแต่ในรอบเดือน ก.ค.54 เป็นระยะเวลา 2 ปี และให้มีการทบทวนในปี 56 เพื่อการประกาศใช้ต่อไปอีก 3 ปี
พร้อมกับเห็นชอบการกำหนดประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าใหม่ โดยสาระสำคัญมีการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทหน่วยงานราชการจะถูกจัดประเภทมาอยู่ในกิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง หรือกิจการขนาดใหญ่ตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าของหน่วยงานนั้นๆ และเห็นชอบให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยซึ่งติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5(15) แอมแปร์และใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือนได้รับการอุดหนุนค่าไฟฟ้าฟรี โดยกระจายภาระให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ยกเว้นผู้ใช้ไฟประเภทบ้านอยู่อาศัย กิจการขนาดเล็ก และประเภทสูบน้ำเพื่อการเกษตร
รวมทั้งเห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการลงทุนที่ต่ำกว่าแผนของการไฟฟ้าในปี 2551-2553 พร้อมทั้งค่าสูญเสียโอกาสทางการเงินในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งนำผลตอบแทนการลงทุนของการไฟฟ้าที่สูงกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาปรับลดค่าไฟฟ้าด้วย
ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 3 ซึ่งเป็นความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าในลาว มีขนาดกำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในเดือนม.ค.60 และเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเงี้ยบ 1 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตติดตั้ง 289 เมกะวัตต์ คาดมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชน์ได้ในปี 61
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช.เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (2554 - 2573) ซึ่งได้กำหนดกรอบการพัฒนาแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศตามภาคเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจขนาดใหญ่ ภาคอาคารธุรกิจขนาดเล็กและบ้านอยู่อาศัย และภาคการขนส่ง โดยเมื่อถึงปี 73 จะสามารถลดการใช้พลังงานได้ทั้งสิ้น 30,000 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ(ktoe) ของปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย พร้อมกับเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการจัดทำแผนปฏิบัติการ และผลักดันสู่การปฏิบัติต่อไป