ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะเดินหน้ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ไปจนถึงกลางปีนี้ตามกำหนดที่วางไว้ นอกจากนี้ เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.97% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4784 ยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.4642 ยูโร และดิ่งลง 0.90% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.6629 ปอนด์ จากระดับ 1.6480 ปอนด์
นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนตัวลง 0.10% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8736 ฟรังค์ จากระดับของวันอังคารที่ 0.8745 ฟรังค์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.69% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 82.060 เยน จากระดับ 81.500 เยน
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.85% แตะที่ 1.0867 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังครที่ 1.0775 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.25% แตะที่ 0.8079 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8059 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงทันทีที่คณะกรรมการเฟดยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ภายใต้มาตรการ QE2 ต่อไปจนสิ้นสุดโครงการในเดือนมิ.ย.ปี 2554 ตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งข่าวดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์ อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่า QE2 จะทำให้สภาพคล่องสกุลเงินดอลลาร์ในระบบสูงขึ้น และทำให้มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์อ่อนแอลงด้วย
นักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่นในมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ แม้เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวในแถลงการณ์ภายหลังการประชุมครั้งล่าสุดว่า "สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและมีเสถียรภาพเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ" นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้ โดยกล่าวเพียงว่า การตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจในอีกหลายเดือนข้างหน้า
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเฟดนั้น เบอร์นันเก้ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการ QE2 ประสบความสำเร็จในด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการที่เฟดตัดสินใจจะยุติ QE2 ในเดือนมิ.ย.ปีนี้นั้น จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินหรือเศรษฐกิจ
ส่วนค่าเงินเยนอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลญี่ปุ่นลงสู่ระดับ "เชิงลบ" โดยคาดว่าต้นทุนการใช้จ่ายที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา จะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลญี่ปุ่นพุ่งขึ้นเหนือระดับเป้าหมายที่ 3.7% ของตัวเลขจีดีพีไปจนถึงปี 2556
สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งที่ระดับ 0.5% ในไตรมาสแรกปีนี้ หลังจากที่หดตัว 0.5% ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนมี.ค.ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้, ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค. และรายได้ส่วนบุคคลเดือนมี.ค.