ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร(เอฟที) งวดใหม่ (พ.ค.- ส.ค. 54 ) เพิ่มขิ้น 8.93 สตางค์/หน่วย ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วจะต้องปรับขึ้น 13.78 สตางค์ต่อหน่วย แต่ กกพ.ได้นำเงินจากหน่วยงานการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่ยังไม่ได้นำไปลงทุนเข้ามาอุดหนุน
นายกวิน ทังสุพานิช เลขาธิการ กกพ.เปิดเผยว่า การปรับขึ้นค่าเอฟที 8.93 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าเอฟทีโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 95.81 สตางค์/หน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานซึ่งอยู่ที่ 2.27 บาท/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยโดยรวมที่เรียกเก็บจากประชาชนจะอยู่ที่ประมาณ 3.23 บาท/หน่วย
สาเหตุที่ต้องปรับขึ้นค่าเอฟทีในงวดนี้ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงจากที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 30.3 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นจริงอยู่ที่ 30.6 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อัตราการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.60% แต่ตัวเลขจริงการใช้ไฟฟ้าติดลบ 0.66% ราคาน้ำมันเตาสูงกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 78.2-78.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ราคาจริงอยู่ที่ 82.5-115.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาก๊าซธรรมชาติสูงกว่าประมาณการณ์ไว้ที่ 224-230 บาท/ล้านบีทียู ขณะที่ราคาจริงอยู่ที่ 224-235 บาท/ล้านบีทียู ซึ่งหากคำนวณตามอัตราที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นจะทำให้ค่าเอฟทีในงวดนี้จะต้องเพิ่มขึ้นถึง 13.78 สตางค์/หน่วย
แต่เนื่องจาก กกพ.ต้องการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงเดือนมีนาคมกว่า 4% ซึ่งเป็นผลมาจากหมวดอาหาร และเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้น ทำให้มีการพิจารณานำเงินส่วนที่สามการไฟฟ้าไม่ได้ลงทุนจริงตามแผนการลงทุนในช่วงปี 51-53 ซึ่งเป็นเงินประมาณ 9,500 ล้านบาท จึงพิจารณานำเงินส่วนหนึ่งประมาณ 2,600 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 11,97.17 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 729.43 ล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 673.41 ล้านบาท มาช่วยลดค่าไฟฟ้าในงวดนี้ได้ 4.85 สตางค์/หน่วย ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่กระทบต่อฐานะการเงินของสามการไฟฟ้า
ส่วนวงเงินที่เหลือต้องมีการหารือใน กกพ.ว่าจะทยอยดึงคืนมาลดค่าไฟฟ้าในช่วงไหนอย่างไร โดยที่ไม่ให้กระทบต่อฐานะการเงินของสามการไฟฟ้า