ค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวช่วยลดผลกระทบจากการที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซ
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.31% แตะที่ 1.4352 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.4308 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 0.16% แตะที่ 1.6394 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.6368 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.52% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 80.200 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 80.620 เยน และดิ่งลง 0.76% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.8716 ฟรังค์ จากระดับ 0.8783 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.99% แตะที่ 1.0792 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.0686 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดตัวขึ้น 0.49% แตะที่ 0.7944 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7907 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินยูโรเพราะคาดว่า อีซีบีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในไม่ช้านี้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนเดือนเม.ย.พุ่งแตะ 2.8% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางยุโรปกำหนดไว้ที่ 2%
ส่วนในการประชุมเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของอีซีบีมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.25% โดยมีเป้าหมายที่จะประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวัน หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ระดับ B จากระดับ BB- เนื่องจากความกังวลที่ว่ารัฐบาลกรีซต้องปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจจะบีบให้กรีซต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติมเพื่อรักษาสถานะการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโรโซน
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสามารถระดมทุนเพิ่มอีก 1.625 พันล้านยูโร หรือ 2.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการขายพันธบัตรอายุ 3 เดือนครั้งล่าสุด โดยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.85% ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นทำให้ตลาดวิตกกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และความเป็นไปได้ที่กรีซจะต้องปรับโครงสร้างหนี้
วิกฤตหนี้สาธารณะทำให้รัฐบาลกรีซยอมรับความช่วยเหลือด้านการเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว เพื่อแลกกับการที่รัฐบาลต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดและปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างเฉียบขาด
คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยอิสระชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานเดือนเม.ย.ของสหรัฐลดลง 0.6% สู่ระดับ 100.5 จุด จากระดับ 101.1 จุดของเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการลดลงรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2553
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงราคานำเข้าและส่งออกเดือนเม.ย., ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนมี.ค., ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนมี.ค., งบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนเม.ย., ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนมี.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนพ.ค