นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้เดือนเม.ย.54 ได้สุทธิ 127,532 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 16,060 ล้านบาท หรือ 14.4% เป็นผลจากการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 54(ต.ค.-เม.ย.54) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิทะลุเป้าหมายเกิน 1.1 แสนล้านบาท หรือ 14.7%
อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้เดือนเม.ย.54 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงถึง 25% เนื่องจากปีที่แล้วมีรายได้พิเศษจากการยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 49,016 ล้านบาท ซึ่งหากหักรายการดังกล่าวออกรายได้ในเดือนเม.ย. 54 จะสูงกว่าปีก่อน 5.3%
ทั้งนี้ ในเดือนเม.ย.54 มีรายได้จากภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3,989 ล้านบาท, ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3,646 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3,569 ล้านบาท โดยภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9,114 ล้านบาท
นายนริศ คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 54 การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์จะเริ่มได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อห่วงโซ่อุปทานของการผลิตรถยนต์(Automotive supply chain)
ส่วนช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 54 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 917,538 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 117,511 ล้านบาท หรือ 14.7% (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 7.2%) เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร สูงกว่าเป้าหมาย 62,509 ล้านบาท, การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต สูงกว่าเป้าหมาย 37,199 ล้านบาท, การจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากร สูงกว่าเป้าหมาย 7,178 ล้านบาท และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าเป้าหมาย 10,156 ล้านบาท
นายนริศ กล่าวว่า แม้จะมีปัจจัยในทางลบต่างๆ ได้แก่ ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล แต่จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลที่สูงกว่าเป้าหมายมาโดยตลอด ประกอบกับทิศทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังมั่นใจว่าในปีงบประมาณ 54 จะจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย (1.65 ล้านล้านบาท) เกินกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอต่องบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอย่างแน่นอน