ค่าเงินยูโรฟื้นตัวขึ้นมาจากที่ร่วงลงในการซื้อขายช่วงเช้าและแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนที่ออกมาในแง่บวก ซึ่งได้จุดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่รัฐมนตรีคลังยุโรปได้เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือถึงวิกฤตหนี้โปรตุเกสและกรีซ
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.40% แตะที่ 1.4174 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.4118 ดอลลาร์สหรัฐ และแข็งค่าขึ้น 0.37% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 114.46 เยน จากระดับ 114.04 เยน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.02% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 80.760 เยน จากระดับ 80.780 เยน และร่วงลง 1.00% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8834 ฟรังค์ จากระดับ 0.8923 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.16% แตะที่ 1.0584 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0567 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ลดลง 0.56% แตะที่ 0.7816 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7860 ดอลลาร์สหรัฐ
เงินยูโรได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาในแง่บวก โดยราคาผู้บริโภคใน 17 ประเทศยูโรโซนขยายตัวที่ระดับ 2.8% ในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.7% ในเดือนมี.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าถึงความเป็นไปได้ที่ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในฤดูร้อนนี้อย่างที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ เงินยูโรฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงเช้าจากข่าวการจับกุมตัวนายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศพนักงานทำความสะอาดในโรงแรม
สำหรับเงินดอลลาร์สหรัฐเผชิญกับปัจจัยลบหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กรายงานว่า การผลิตในนิวยอร์กชะลอตัวลงในเดือนพ.ค. เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น
โดยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนพ.ค.ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 11.88 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 20 และร่วงลงจากเดือนเม.ย.ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21.70