นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า การออกหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่เพื่อระดมทุนปีนี้ไม่คึกคักเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินมีในปริมาณที่สูง ขณะที่ต้นทุนการขอสินเชื่อกับต้นทุนการออกหุ้นกู้ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จากเดิมที่ต้นทุนการออกหุ้นกู้มีสัดส่วนต่ำกว่าการขอสินเชื่อส่งผลให้บริษัทฯขนาดใหญ่ออกหุ้นกู้มาก
ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าประจำที่ให้ธนาคารออกหุ้นกู้ให้ เช่น บมจ. ปตท. (PTT) และเครือซิเมนต์ไทย (SCC) ซึ่งเจาะกลุ่มขายลูกค้ารายย่อย เนื่องจากการลงทุนของลูกค้ากลุ่มนี้จะดูความมั่นคงของบริษัทหลัก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาธนาคารเป็นผู้รับประกันการจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับลูกค้าแล้วประมาณ 20 ดีล ซึ่งแต่ละดีลมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 3,000 ล้านบาท
“บริษัทขนาดใหญ่ยังต้องออกหุ้นกู้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กร เพราะถ้าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้เรตติ้งที่ดีทำให้นักลงทุนราย ย่อยจดจำและเลือกการลงทุน"นายธิติ ระบุ
ส่วนตลาดตราสารหนี้ในปีที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 250,000 ล้านบาท โดยเป็นของธนาคารกสิกรไทยประมาณ 17% และเชื่อว่าในปีนี้ธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาดใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในด้านทิศทางค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐยังผันผวนตามค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน และน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดยังจับตาดูว่าหลังจากสิ้นสุดมาตการอัดฉีดสภาพคล่องกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ QE2 ของสหรัฐอเมริกาในเดือนมิ.ย.นี้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะต่อมาตรการ QE3 อีกหรือไม่ โดยหากเฟดต่อมาตรการอีกรอบจะทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้ามาในเอเชียและส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นรวมถึงค่าเงินบาท นอกจากนี้จะต้องดูการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะกรีซด้วยว่าเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทในสิ้นปีนี้แตะที่ระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค.นี้ เชื่อว่าไม่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนมากนัก เนื่องจากตลาดเงินรับรู้เรื่องนี้มานานแล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องจับตาดูในช่วงหลังการเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร