สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในไตรมาส 1/54 เติบโต 3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยจากการส่งออกขยายตัว ผลผลิตเกษตรเพิ่มขึ้น ท่องเที่ยวเติบโตดี การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สภาพัฒน์ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/54 ขยายตัวได้ดีที่ 3.0% โดยได้รับแรงส่งจากการขยายตัวทั้งอุปสงค์และอุปทาน ด้านอุปสงค์มีแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวสูงของการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียที่มีการขยายตัวได้ดี
ด้านอุปทานเป็นการขยายตัวของภาคเกษตร โรงแรมและภัตตาคาร และการเงินและธนาคาร ส่วนสาขาอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราชะลอลง
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 2/54 คาดว่าสาขาอุตสาหกรรมมีแนวโน้มชะลอลง โดยมีปัจจัยหลักคือ อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอลงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น และ แนวโน้มการชะลอลงของการผลิต ฮาร์ด ดิสค์ ไดรฟ์ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
ขณะที่สาขาเกษตรมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน เนื่องจากฐานของปริมาณผลผลิตซึ่งอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเร่งเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนมีนาคม ทำให้คาดว่าผลผลิตในไตรมาส 2 จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านเงินเฟ้อคาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวสูงกว่าไตรมาส 1/54
เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ยังเชื่อว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากมองว่าภาคการผลิตและกำลังซื้อในประเทศ ตลอดจนภาคการส่งออกที่หักในส่วนของการส่งออกรถยนต์ยังสามารถเติบโตได้ดี ดังนั้นจึงเชื่อว่าปัจจัยทั้งหมดนี้จะไม่มีผลกระทบต่อ GDP ในไตรมาส 2 แต่ทั้งนี้คงต้องติดตามดูความชัดเจนจากภาคการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 2 เป็นส่วนประกอบด้วย
"GDP ไตรมาส 2 ปีก่อนโตสูงมากถึง 9.2% ส่วนไตรมาส 2 ปีนี้ ภาคการผลิตและกำลังซื้อในประเทศ รวมทั้งภาคส่งออกที่ไม่รวมยอดส่งออกรถถ้ายังโตได้ดี ก็ไม่น่ากระทบไตรมาส 2...ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน(GDP ไตรมาส 2) แต่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหา" นายอาคม กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ของปีนี้ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัว ประกอบด้วย จำนวนนักท่องเที่ยวเดือนเมษายนสูงถึง 1.49 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 35.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน, การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวครั้งแรกหลังจากหดตัวต่อติดต่อกัน 4 ไตรมาส และการส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นวันที่ 3 ก.ค.54 นี้ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า อาจส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างในช่วงไตรมาส 2 นี้ ซึ่งเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมืองที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายกระจายลงไปยังธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจรับทำป้ายโฆษณา แผ่นพับ ใบปลิว รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น การเช่ารถ
ทั้งนี้ การเลือกตั้งในแต่ละครั้งที่ผ่านมาพบว่ามีค่าใช้จ่ายที่เป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบราว 20,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบราว 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งก่อนเนื่องจากค่าครองชีพ และอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้น
"4 เดือนแรกปีนี้ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 3.3% ข้าวของก็แพงขึ้น เชื่อว่าเม็ดเงินจะสะพัดสูงกว่าการเลือกตั้งในครั้งก่อน รอบนี้น่าจะประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผลทำให้การบริโภคขยับตัวขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2" นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวถึง แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งหลังของปีคาดว่าจะขยายตัวได้สูงกว่าในครึ่งแรกของปี เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการผลิตทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก นอกจากนั้นภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติและเร่งการผลิตเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจจะได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น