สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(สคร.) ประเทศแถบเอเซียตะวันออกและโอเชียเนีย (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และออสเตรเลีย) เตรียมรายงานในที่ประชุมทูตพาณิชย์ 65 แห่งทั่วโลกที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้(25 พ.ค.) ถึงสถานการณ์การค้าในภูมิภาคนี้ โดยคาดว่าการส่งออกไปยังภูมิภาคนี้จะขยายตัวได้ 10% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 36,734 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเดิมที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ 8%
โดยญี่ปุ่นถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญสำหรับไทยมาก และเลือกไทยเป็น China +1 โครงการก่อสร้างและฟื้นฟูภูมิภาคที่เกิดภัยพิบัติ มูลค่า 10 ล้านล้านเยน เป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าไทย โดยเฉพาะ แก่สินค้าอาหารกระป๋องและแปรรูป ตลอดจนวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ไม้อัด ใยแก้ว ฉนวนทองแดง และแผ่นกรอง เพื่อก่อสร้างบ้านพักให้กับผู้ประสบภัย รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีกทั้งโอกาสการย้ายฐานการผลิตสินค้าญี่ปุ่นมาไทย เนื่องจากปัญหาขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า
ส่วนเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐฏิจโดดเด่น แต่เป็นตลาดที่มีข้อกีดกันทางการค้ามาก เป็นที่น่ายินดีที่ปีนี้เกาหลีเปิดให้มีการนำเข้า มังคุด และไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทย ซึ่งเคยถูกห้ามนำเข้าไปตั้งแต่เกิดการระบาดของไข้หวัดนก อีกทั้งกรมฯจะเน้นความร่วมมือในเรื่อง อุตสาหกรรมดิจิตัลคอนเทนต์ กับเกาหลีให้มากขึ้น
ขณะที่ทวีปออสเตรเลียเป็นตลาดที่มีอำนาจซื้อสูง ใส่ใจในคุณภาพ แผนกิจกรรมหลักในตลาดนี้ได้แก่ การพัฒนาธุรกิจบริการ โครงการส่งเสริมทักษะ Chef ไทยในออสเตรเลียและเผยแพร่โครงการไทยซีเล็ค (เมืองซิดนีย์ เมลเบอร์น บริสเบน และเพิร์ธ)
นอกจากนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังคาดว่า เป้าหมายการส่งออกไปยังภูมิภาคนี้ในปีนี้จะเติบโตถึง 12% คิดเป็นมูลค่า 10,829 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเดิมที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ที่ 7% เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีความต้องการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่สามารถผลิตได้เองเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าอาหาร สินค้าเกษตร รัฐบาลตะวันออกกลางหลายประเทศเพิ่มและปรับแผนเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการจ้างงาน ตลอดจนการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นดูไบที่ค่อนข้างซบเซา ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจต่อเนื่องอื่นขยายตัวตามไปด้วย เช่น ธุรกิจการออกแบบตกแต่ง, เฟอร์นิเจอร์ และร้านอาหาร
ขณะที่ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ภูมิภาคแอฟริกา คาดว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 10% คิดเป็นมูลค่า 7,488 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เพียง 3% ทั้งนี้ภูมิภาคแอฟริกาเป็นตลาดศักยภาพใหม่ที่มีความโดดเด่นในหลายด้าน รวมถึงการเป็นแหล่งวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติของโลก ได้แก่ แหล่งน้ำมันดิบ ป่าไม้แร่ธาตุธรรมชาติ อาทิ ทองคำ เพชร พลอย และอัญมณี รวมทั้งมีทรัพยากรทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะเกิดเหตุการณ์ประท้วงในภูมิภาคแอฟริกาเหนือหลายประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในช่วงสั้นๆ แต่ภายหลังที่เหตุการณ์ความไม่สงบคลี่คลายลง จะเป็นโอกาสของทองสินค้าไทยที่จะเข้าไปบุกตลาดเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทอาหาร และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งไทยมีศักยภาพมาก
ในด้านสินค้าที่มีศักยภาพของไทย คือ ข้าว รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋อง และแปรรูป เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น