ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 พ.ค.) หลังจากรัฐบาลกรีซเตือนว่าอาจจะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและเงินบำนาญข้าราชการในเดือนก.ค.ได้ หากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ไม่ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่ากรีซอาจจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะทำให้กรีซเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.14% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.4083 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.4103 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.59% แตะที่ 1.6273 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6178 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 81.990 เยน จากระดับ 81.900 เยน แต่ดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.84% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8727 ฟรังค์ จากระดับ 0.8801 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.22% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0531 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0554 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดตัวขึ้น 0.20% แตะที่ 0.7983 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7967 ดอลลาร์สหรัฐ
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปยังคงฉุดสกุลเงินยูโรร่วงลง โดยมีรายงานว่ารัฐบาลกรีซอาจจะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและเงินบำนาญข้าราชการในเดือนก.ค.ได้ หากอียูและไอเอ็มเอฟไม่ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม นอกจากนี้รัฐบาลกรีซและพรรคฝ่ายค้านยังไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวเสถียรภาพด้านการคลังในอนาคตของกรีซ และยังทำใหนักวิเคาะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่ากรีซอาจจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ในที่สุด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลกรีซได้ปฏิเสธการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่า กรีซอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากกรีซยังเชื่อมั่นในมาตรการสร้างเสถียรภาพและการเติบโตระยะ 3 ปีซึ่งประกาศใช้ในปี 2553 แต่หลังจากกรีซไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการคลังและมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากประเทศเจ้าหนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรีซได้ออกมาแสดงความกังวลว่าการผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของกรีซยากจนลง และไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของบางประเทศ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนหรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปีในสหรัฐ ร่วงลงเกินคาด 3.8% ในเดือนเม.ย.
ส่วนเงินเยนอ่อนค่าลงหลังจากมีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนเม.ย.ของญี่ปุ่นร่วงลง 12.5% สู่ระดับ 5.1557 ล้านล้านเยน (6.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.9% แตะที่ 5.6194 ล้านล้านเยน ส่งผลให้ญี่ปุ่นมียอดขาดดุลการค้ามูลค่า 4.637 แสนล้านเยนในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริง (เบื้องต้น) ประจำไตรมาสแรกปีนี้, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดการทำสัญญาซื้อบ้านเดือนเม.ย.