ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 มิ.ย.) หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลง 3 ขั้น สู่ระดับ Caa1 จากระดับ B1 เนื่องจากความกังวลที่ว่า รัฐบาลกรีซอาจจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพการคลังเอาไว้ได้โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงดัชนีภาคการผลิตและตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนในเดือนพ.ค.
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.45% แตะที่ 1.4329 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.4394 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลง 0.71% แตะที่ 1.6333 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6449 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.71% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 80.940 เยน จากระดับ 81.520 เยน และดิ่งลง 1.26% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.8430 ฟรังค์ จากระดับ 0.8538 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.57% แตะที่ 1.0607 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0668 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.8144 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8233 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในสกุลเงินยูโร หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลง 3 ขั้น สู่ระดับ Caa1 ซึ่งเป็นระดับ "ขยะ" จากระดับ B1 เนื่องจากความกังวลที่ว่า รัฐบาลกรีซอาจจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะทำให้กรีซเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อหนังสือพิมพ์ Frankfurter Allgemeine Zeitung ของเยอรมนีรายงานว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะไม่ให้เงินเพื่อเงินสมทบเข้ากองทุนช่วยเหลือกรีซในช่วงปลายเดือนมิ.ย. แม้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กได้รับข่าวดีจากนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานรมว.คลังกลุ่มยูโรโซนที่เปิดเผยว่า ผู้นำยุโรปกำลังเร่งสรุปมาตรการให้ความช่วยเหลือรอบสองสำหรับกรีซ
ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนแอ รวมถึงภาคเอกชนที่เพิ่มการจ้างงานเพียง 38,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2553 และดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค.ของสหรัฐที่ขยายตัวเพียง 53.5 จุด น้อยกว่าเดือนพ.ค.ที่ขยายตัวได้ดีถึง 60.4 จุด
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนตัวลงหลังจากสำนักงานสถิติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกหดตัวลง 1.2% ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในอุตสาหกรรมที่สำคัญๆของประเทศ อาทิ เหมืองถ่านหิน
ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญด้านอื่นๆในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนเม.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 185,000 ราย ซึ่งจะเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนพ.ค.จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 8.9%