กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยถึงแผนการถอนการลงทุนทั้งหมดในบริษัท ไครสเลอร์ กรุ๊ป ภายใต้โครงการบรรเทาสินทรัพย์ที่มีปัญหา (TARP) หลังจากที่ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อขายหุ้นของกระทรวงที่เหลืออยู่ 6% ในไครสเลอร์ให้กับบริษัท เฟียต วงเงินประมาณ 560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหลังจากที่การซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้นลง การลงทุนในไครสเลอร์ภายใต้โครงการ TARP ของกระทรวงการคลังสหรัฐก็จะสิ้นสุดลงตามไปด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐ กล่าวว่า เมื่อการลงทุนในไครสเลอร์ของกระทรวงสิ้นสุดลง ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีบารัค โอบามาที่ให้การสนับสนุนและปรับโครงสร้างบริษัทนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐได้ใช้งบประมาณรวม 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในไครสเลอร์ภายใต้โครงการ TARP โดยหลังจากที่การซื้อขายหุ้นสิ้นสุดลง ผู้เสียภาษีจะได้รับเงินคืนจากไครสเลอร์กว่า 1.12 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ไครสเลอร์สามารถชำระคืนหนี้รัฐบาลได้เร็วกว่าที่ได้มีการวางแผนไว้ถึง 6 ปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐนั้นพลิกฟื้นตัวขึ้นแล้ว
โดยหลังจากที่เจนเนอรัล มอเตอร์ส และไครสเลอร์ เกือบจะล้มละลายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ค่ายรถทั้งสองและฟอร์ดต่างก็สามารถกลับมาทำกำไรได้ และอุตสาหกรรมยานยนต์ก็สามารถสร้างงานใหม่ได้ 115,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและผู้บริโภคที่ระมัดระวังการจับจ่าย เพราะอัตราว่างงานของประเทศยังอยู่ในระดับสูงนั้น จะยังคงเป็นอุปสรรคต่อภาคการผลิตและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ