นายอารีพงศ์ ภู่ชะอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการประชุมกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงานและโทรคมนาคมว่า นโยบายด้านพลังงานมีความชัดเจนเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งกระทรวงพลังงานมีความต้องการให้เกิดการสร้างพลังงานทางเลือก ซึ่งก่อนหน้านี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วางแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ และได้มีการจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นจากประชาชนมาแล้วถึง 10 ปี แต่หลังเกิดปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น จึงเห็นว่าควรทบทวนนโยบายสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และหากไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กฟผ.ก็คงจะต้องมีการทบทวนบทบาทด้วย
ส่วนของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้มีการขยายเครือข่ายและกำลังไฟในทุกพื้นที่แล้ว ซึ่งไมได้มีปัญหาใดๆ มีเพียง กฟน.ทจะดำเนินการปรับเปลี่ยนสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการบ้างแล้ว
ส่วนด้านโทรคมนาคม มีความชัดเจนว่ารัฐวิสาหกิจจะไม่มีการลงทุนด้านไอที แต่จะเป็นบทบาทของภาคเอกชนดำเนินการลงทุน เพื่อที่จะไม่เป็นภาระต่อเงินงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ ทั้ง บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที จะต้องบริหารองค์กรให้เข้มแข็ง ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง เพราะหาก 2 องค์กรนี้ล้ม ภาคเอกชนพร้อมที่จะเข้ามาบริหารกิจการทดแทน และยังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประเทศ
"ทั้งสององค์กรต้องมีความเข้มแข็ง ยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง เพราะหากบริหารแล้วกิจการล้ม เอกชนพร้อมเข้ามาให้บริการได้แทน ซึ่งในแง่ประชาชนไม่มีผลกระทบ แต่จะทำให้รัฐเสียหาย"นายอารีพงศ์ กล่าว
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้กรรมการรัฐวิสาหกิจผู้แทนกระทรวงการคลังเร่งรัดการทำงานในรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเร่งด่วน และให้มีการรายงานปัญหาและอุปสรรคต่างๆต่อ สคร.ทุก 3 เดือน
นอกจากนี้จะได้ให้รัฐวิสาหกิจมีความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกัน เพื่อลดภาระการใช้เงินงบประมาณในการลงทุนที่ซ้ำซ้อน เช่นกรณี ของ บมจ.กสทฯ และ บมจ.ทีโอที ที่จะมีความร่วมมือการใช้บรอดแบนด์ และไฟเบอร์ออฟติคร่วมกัน เพื่อแต่ละหน่วยงานไม่ต้องการลงทุนเอง