กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าเดือนเม.ย.ร่วงลง 6.7% สู่ระดับ 4.37 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2553 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 4.89 หมื่นล้านดอลลาร์
ปัจจัยที่ทำให้ยอดขาดดุลการค้าเดือนเม.ย.ของสหรัฐร่วงลงเกินคาดนั้น มาจากยอดส่งออกเดือนเม.ย.ที่พุ่งขึ้น 1.3% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.756 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 0.4% สู่ระดับ 2.192 แสนล้านดอลลาร์
รายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สหรัฐมียอดขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นลดลง 40.8% สู่ระดับ 3.89 พันล้านดอลลาร์ หลังจากยอดการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นหดตัวลง 25.5% สู่ระดับ 8.83 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกสินค้าจากสหรัฐไปยังญี่ปุ่นหดตัวลง 9.4% สู่ระดับ 5.24 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลกระทบของแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สหรัฐมียอดขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 19.4% สู่ระดับ 2.160 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมียอดการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 7.1% สู่ระดับ 2.957 หมื่นล้านดอลลาร์ และยอดส่งออกลดลง 16.3% สู่ระดับ 7.97 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ รายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ราคานำเข้าน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยของสหรัฐในเดือนเม.ย.ยืนอยู่ที่ระดับ 103.18 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากระดับ 93.76 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนมี.ค. และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2551 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับที่สูงมาก สำนักข่าวเกียวโดรายงาน