เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวปาฐกถาในการประชุมประจำปี 2554 ของคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐว่า ตัวเลขหนี้ที่สูงขึ้นของรัฐบาลสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศ พร้อมกับเรียกร้องให้สภาคองเกรสปรับเพิ่มเพดานหนี้ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
"การไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสถานะการคลังของประเทศ และการที่ตัวเลขหนี้ของรัฐบาลสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงมากจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของของเจ้าหน้าที่สภานิติบัญญัติด้วย" เบอร์นันเก้เตือน
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า การไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องผิดนัดการจ่ายเงินตามกำหนดในด้านต่างๆ ซึ่งจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานะด้านการคลังของรัฐบาลสหรัฐด้วย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้มีขึ้นในขณะที่มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่า ตัวเลขหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐจะพุ่งขึ้นชนเพดานสูงสุดในวันที่ 2 ส.ค.นี้ โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐปรับเพิ่มเพดานหนี้ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ระดับ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีพรรครีพับลิกันเป็นผู้ครองเสียงข้างมากนั้น ได้ลงมติไม่เห็นชอบต่อข้อเสนอดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา
มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า มูดีส์อาจจะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือหรืออาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ หากสหรัฐไม่มีความคืบหน้าในเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ พร้อมกับกล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในเรื่องเพดานหนี้นั้น อยู่ในระดับที่สูงเกินคาด ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ในระยะสั้น
ยอดขาดดุลงบประมาณของกลางรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น 42.7% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 5.76 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่ายอดการขาดดุลเดือนเม.ย.ที่ระดับ 4.04 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 (เริ่มคำนวณตั้งแต่เดือนต.ค. 2553) ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐมีอยู่ทั้งสิ้น 9.274 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณในปี 2552 สูงถึง 1.41 ล้านล้านดอลลาร์ และ 1.29 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2553