อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยเตรียมเสนอรัฐบาลชุดใหม่ยกเลิกมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงเกินลิตรละ 30 บาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซล ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ราวปีละ 1 แสนล้านบาท โดยจะขอไม่ให้มีการต่ออายุมาตรการลดภาษีออกไปจากที่จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย.นี้
"ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการลดภาษีหลายรายการ โดยเฉพาะการลดภาษีน้ำมันดีเซลเหลือ 0.005 สตางค์/ลิตร ที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ถึงปีละ 1 แสนล้านบาท จึงเตรียมที่จะคัดค้านหากรัฐบาลใหม่จะต่ออายุการลดภาษีน้ำมันดีเซลที่จะหมดอายุในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นการสร้างปัญหา" นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดให้เกิดความผิดปกติ โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% จากเดิมที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละ 10% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีจำนวนมากขึ้น
นอกจากนั้น กรมสรรพสามิตจะเสนอรัฐบาลใหม่ให้พิจารณาเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อสิ่งแวดล้อมจำนวน 4 รายการ ประกอบด้วย รถยนต์ แบตเตอรี่ เครื่องปรับอากาศ และพลังงานเชื้อเพลิง พร้อมทั้งทบทวนการเก็บภาษีสินค้าที่ยังไม่มีการจัดเก็บ เช่น น้ำมันหล่อลื่น ยาฆ่าแมลง ยางรถยนต์ และบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอขอแก้ไขกฎหมายสรรพสามิตให้สอดคล้องกับหลักสิ่งแวดล้อม อัตราภาษีจะสูงเป็นขั้นบันไดตามปริมาณการปล่อยของเสีย ขณะเดียวกันจะมีการคืนภาษีหรือลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่ผลิตสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเก็บภาษีจากผู้ปล่อยมลพิษโดยตรง ทั้งทางอากาศ น้ำ หรือทิ้งขยะ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล อีกทั้งมีแนวคิดที่จะจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม โดยจัดสรรภาษีที่จัดเก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาเข้ากองทุนเพื่อใช้ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย