นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขันสินค้าไทยภายในใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้)ว่า หากข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ GDP ของกลุ่มอาเซียน+3 เพิ่มขึ้นอีก 174,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 9 ล้านล้านดอลลาร์
โดยจีนจะมีมูลค่า GDP เพิ่มมากสุดหรือเพิ่มขึ้น 48,700 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือญี่ปุ่นเพิ่ม 38,700 ล้านดอลลาร์ และเกาหลีใต้ 20,100 ล้านดอลลาร์ ส่วนไทยมีมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นเป็นอับดับ 6 หรือมีมูลค่า 14,400 ล้านดอลลาร์ รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
นายอัทธ์ กล่าวว่า ส่วนมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจากการลดภาษีสินค้าภายใต้กรอบ FTA นั้น พบว่าจะมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 140,000 ล้านดอลลาร์ หรือเป็นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของประเทศ+3 คือจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ในสัดส่วน 80% ส่วนอาเซียน มีสัดส่วน 20% โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มมากสุด 47,400 ล้านดอลลาร์
ส่วนไทยอยู่อับดับ 7 มีมูลค่า 4,212 ล้านดอลลาร์ รองจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ สำหรับสินค้าที่คาดว่าไทยจะแข่งขันได้ยากกว่าประเทศคู่แข่งหรือมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจากการเปิดเสรีคือ ข้าว, สิ่งทอ, ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี, เหล็ก และเครื่องใช้ไฟฟ้า