นายสิงห์ชัย บุณยโยธิน ผู้อำนวยการ สำนักตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การอ่อนค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค เป็นผลจากความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในประเทศกรีซ ประกอบกับปัญหาการเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนในประเทศขายพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้และนำเงินออกนอกประเทศชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจน และสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองว่าตลาดในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่มาก
“ปัจจัยการเมืองไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงนี้จะอ่อนค่ากว่าค่าเงินอื่นในภูมิภาค แต่ก็เป็นเพราะที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าค่าเงินอื่นในภูมิภาคเช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเงินบาทจึงอ่อนค่าลงมาก ถือว่าไม่ผิดปกติ และไม่ได้เกินความคาดหมายที่ ธปท.ประเมินไว้"นายสิงห์ชัย ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ เนื่องจากเป็นเหตุผลที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม ธปท.มองว่าทิศทางค่าเงินจะเห็นการเคลื่อนไหวทั้งแข็งค่าและอ่อนค่าใน2 ทิศทาง และได้เตรียมมาตรการและเครื่องมือในการรับมือหากเงินบาทอ่อนค่าและผันผวนมากจากปัญหาหนี้ในประเทศกรีซรวมทั้งปัญหาการเมืองในประเทศ
นอกจากนี้ ธปท.ยังมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและธนาคารพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารที่เป็นเงินบาท(ไบบอร์) เพราะสะท้อนต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจได้ดี ไม่ต้องผูกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้มีความผันผวน โดยอัตราดอกเบี้ยไบบอร์อ้างอิงดอกเบี้ยในประเทศ ทำให้นักธุรกิจสามารถคำนวณต้นทุนดีกว่า ปัจจุบันมีภาคธุรกิจที่ใช้การกู้ยืมเงินด้วยดอกเบี้ยไบบอร์ ประมาณ 8-10% จาดยอดคงค้างในระบบ 100,000 ล้านบาท ซึ่ง ธปท.จะส่งเสริมให้ใช้ดอกเบี้ยไบบอร์มากขึ้น และจะประเมินประสิทธิภาพทุก 6 เดือน