นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นไทย ที่สำรวจจากกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มคือ ประชาชน ข้าราชการ และนักธุรกิจ ระหว่างเดือน พ.ค.-มิ.ย.54 พบว่า ดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นในเดือนมิ.ย.54 อยู่ที่ 3.4 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนธ.ค.53 ที่อยู่ที่ 3.5 คะแนน
ส่วนดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 3.1 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 2.9 คะแนน และดัชนีแนวโน้มสถานการณ์คอรัปชั่นไทยอยู่ที่ 3.8 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 3.7 คะแนน
อนึ่ง ระดับ 0 คะแนนหมายถึงการคอรัปชั่นรุนแรงมากที่สุด และ 10 คะแนน หมายถึงไม่มีการคอรัปชั่นเลย
ทั้งนี้ เมื่อแยกดัชนีสถานการณ์คอรัปชั่นรวมเดือนมิ.ย.ออกเป็น 4 หมวด จะพบว่าดัชนีปัญหาและความรุนแรงของการคอรัปชั่นเดือนมิ.ย.54 อยู่ที่ 2.9 คะแนน ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ที่ 3.3 ดัชนีการป้องกันการคอรัปชั่นอยู่ที่ 4.1 ลดลงจาก 4.3 ดัชนีการปราบปรามการคอรัปชั่นอยู่ที่ 3.7 เท่ากับครั้งก่อน และดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกอยู่ที่ 3.1 เพิ่มขึ้นจาก 2.9
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากตัวเลขสถานการณ์คอรัปชั่น แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามยังเห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรงของคอรัปชั่นมีมากขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนมาก แต่มีแนวโน้มลดลงในอนาคต เพราะภาคเอกชนรวมตัวกันเป็นภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชั่น และมีกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินการเพื่อต่อต้านการคอรัปชั่นมากขึ้น
ขณะเดียวกันประชาชนตระหนักถึงความรุนแรงของการคอรัปชั่นและต้องการแก้ปัญหา จึงทำให้หวังว่าจะมีการแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้ในอนาคต
"การสำรวจครั้งก่อน นักธุรกิจตอบว่าต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับการให้ได้รับงานมากถึง 25-30% ของวงเงินงบประมาณ หรือ 200,000-300,000 ล้านบาท และครั้งนี้มีการตอบเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% แต่เป็นส่วนน้อย ภาพรวมจึงยังมีความเสียหายอยู่ที่ 200,000-300,000 ล้านบาทเท่าเดิม แต่คาดว่าวงเงินที่ต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000-400,000 หรืออาจจะถึง 500,000 ล้านบาทได้ภายใน 5 ปีหากไม่มีการแก้ปัญหา" นายธนวรรธน์ กล่าว