นายอลัน หลิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วงประมาณปลายเดือนก.ค.นี้ บริษัทฯจะนำที่ดินผืนสุดท้ายบนถนนวิทยุขนาด 5 ไร่ 2 งาน 9 ตารางวา ตรงข้ามกับโรงแรมปาร์คนายเลิศ ราคากลาง 1,988,100,000 ล้านบาท ออกมาประมูลให้แก่ผู้สนใจ ได้แก่ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทมหาชนทั้งหลาย Developer ทั้งรายกลาง-ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของบริษัทฯอยู่แล้ว ด้วยการยื่นซองประมูลเสนอราคาตามที่พอใจ กำหนดวันยื่นซองในวันที่ 21 ก.ค. 54 ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น.
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/54 และไตรมาส 4/54 บริษัทฯ จะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมทำเลในเมืองที่มีศักยภาพโดดเด่น อีกหลายแห่ง รวมมูลค่ากว่า 6,000-7,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการที่มีอยู่ในตลาด รวมไปถึงการเปิดประมูลขายที่ดิน อีกหลายแปลงด้วย
"ในปีนี้เราได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 12,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ผ่านมาที่ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตขึ้น 25 % โดยในส่วนของตัวเลขผลประกอบการของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2554 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้"นายอลัน กล่าว
สำหรับการดำเนินงานในระยะสั้นของบริษัทฯ ได้ขยายช่องทางการขายโดยเน้นการขายด้วยวิธีการประมูล โดยจะเน้นไปที่การนำโครงการที่สร้างเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ ออกมาประมูลขาย เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของผู้ซื้อ และสร้างยอดขายให้บริษัท
ในส่วนของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและการจัดตั้งรัฐบาลผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจต่างๆ ก็น่าจะดีขึ้น โดยความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเมือง ติดรถไฟฟ้า รวมถึงส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายต่างๆที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งระดับราคาที่เป็นที่นิยม คือ ห้องชุดราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่อยู่ที่ราคาประมาณ 3-5 ล้านบาท
แต่มองว่าระยะ 1-2 ปี ข้างหน้า ความต้องการโครงการแนวราบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์หลายรายก็หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ฯลฯ โดยเฉพาะทำเลย่านราชพฤกษ์ อ่อนนุช รังสิต รามอินทรา เป็นต้น
ด้านนายสหัสชัย ชวัญชื้น รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารงานโครงการ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้าแนวราบเป็น 30-40% ของพอร์ตสินค้ารวมมูลค่ากว่า 3-4 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 20% ขณะที่สัดส่วนโครงการแนวสูงก็จะปรับลดลงจากปีก่อนที่ 80% เป็น 70-60% ซึ่งก็เป็นไปตามแนวโน้มตลาดที่มีความต้องการโครงการแนวราบมากขึ้นเรื่อยๆ