นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) กล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งถือว่าเป็นไปตามคาดหมาย และมองว่า ในการดำเนินนโยบายใหม่ของรัฐบาลใหม่จะออกมาในรูปใด เพราะนโยบายการหาเสียงมีค่อนข้างมาก ไม่รู้ว่าโครงการไหนจะนำมาดำเนินการ แต่นโยบายพรรคเพื่อไทยเน้นกระตุ้นการบริโภคเป็นหลัก แต่จะกระตุ้นได้มากน้อยแค่ไหนยังไมมองไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าจะดำเนินการได้กี่โครงการ
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติรมว.คลังต้องมีความโปร่งใส เป็นนักเศรษฐสาตร์ที่มีความรู้ จัดโครงสร้างเศรษฐกิจการเงินกาคลังได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ประเทศเข้มแข็ง และไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนกรีซ รวมทั้งมีโครงการใดที่จะเน้นปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี เนื่องจากนโยบายที่ผ่านมาเน้นคนรากหญ้ามากกว่า
ด้านนายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในฐานะประชาชน ยอมรับมติเสียงส่วนใหญ่ แต่หวังว่าสิ่งแรกที่รัฐบาลใหม่จะทำคือการสร้างความปรองดองให้ได้ เพราะทุกคนกลัวความไม่สงบ จึงต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยในประเทศเกิดขึ้น เพราะเมื่อใดไม่มีความสงบทุกคนก็มีความกลุ้มใจ ตอนนี้ทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
"สิ่งแรกที่ต้องทำ การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้ อย่าทำอะรไห้เกิดความขัดแย้ง...อยากให้ประชาชนรู้จักพอเพียง มีบาทใช้บาท อย่าใช้สองบาท"นายสุวรรณ์กล่าว
ขณะที่ในการปล่อยสินเชื่อ มองว่า รัฐบาลใหม่วางนโยบายที่ยอมรับได้ก็คงไม่มีปัญหา เพราะไม่อยากเห็นการใข้จ่ายเกินตัว หากมีการใข้จ่ายเกินกำลังก็ไม่ควรทำ
*เอกชนเชื่อขึ้นค่าแรงกระตุ้นศก.แต่ยังห่วงเอาเงินจากไหน
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริการ บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TF) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา"มาม่า" กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะจัดตั้งรัฐบาลซึ่งเข้ามาดูแลผุ้มีรายได้น้อย เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท และรับประกัน 15,000 บาทต่อเดือนสำหรับผู้จบปริญญาตรี รวมทั้งคาดว่าจะเกิดความสามัคคีได้
"เขาจะขึ้นค่าแรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัญหาอยุ่ที่ว่า จะเอาเงินมาจากไหน แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร"นายพิพัฒ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องคอร์รัปชั่น และ เรื่องปัญหายาเสพติด ซึ่งต้องการให้รัฐบาลใหม่สนใจปัญหาดังกล่าวให้มาก