นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยฐานะการคลังของภาครัฐบาลตามระบบ สศค.(Government Finance Statistics : GFS) ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 54(ม.ค.-มี.ค.54) ว่าขาดดุล 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ดุลการคลังภาครัฐขาดดุล 3.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 44.8%
โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 54 ดุลการคลังภาครัฐบาล(รัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ขาดดุล 100,616 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ขาดดุล 191,995 ล้านบาท หรือลดลง 47.6% โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 654,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 115,718 ล้านบาท หรือ 21.5% จากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก
ส่งผลให้รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต รวมทั้งรัฐบาลได้จัดสรรและโอนเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. เร็วกว่ากำหนด โดยได้โอนเงินอุดหนุนทั่วไปของช่วงครึ่งปีหลังภายในไตรมาสที่ 2 ส่วนรายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 754,743 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 24,338 ล้านบาท หรือ 3.3%
สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 54 ภาครัฐบาลมีรายได้ทั้งสิ้น 1,268,782 ล้านบาท (คิดเป็น 11.7% ของ GDP) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 187,985 ล้านบาท หรือ 17.4%
ขณะที่รายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 1,641,642 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 303,429 ล้านบาท หรือ 22.7% เนื่องจากการเบิกจ่ายของรัฐบาลสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 234,100 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุลจำนวน 372,860 ล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้น 44.8% (ปีที่แล้วขาดดุล 257,416 ล้านบาท)
"การขาดดุลการคลังของภาครัฐบาลในไตรมาสที่ 2 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เป็นผลจากจัดเก็บรายได้ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในขณะที่รายจ่ายรวมเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับดุลการคลังของภาครัฐบาลในช่วง 6 เดือนแรก ขาดดุลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนและนโยบายการจัดตั้งงบประมาณขาดดุลของรัฐบาล" นายนริศ กล่าว