สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศว่าจะจับตานโยบายเศรษฐกิจและการคลังของรัฐบาลชุดใหม่ของไทย รวมทั้งจับตาดูความคืบหน้าทางการเมืองต่อไป เนื่องจากความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง ทำให้การดำเนินโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานระยะยาวและการปฏิรูปการศึกษาเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่ง S&P มองว่าขอบเขตและอัตราความเร็วของการดำเนินนโยบายเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางและต่อการปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพ
“อัตราความเร็วและระดับการฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเมืองจะมีความสำคัญต่อการให้อันดับความน่าเชื่อถือของ S&P และ S&P มองว่า การปรองดองอย่างสมบูรณ์ทางการเมืองในประเทศไทยอาจจะเป็นไปได้ยากในระยะใกล้นี้ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองยังมีอยู่มาก" นายทากาฮิระ โอกาวะ นักวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของ S&P กล่าว
นายโอกาวะกล่าวว่า แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางการเมืองของไทยยังคงแข็งแกร่งจนถึงขณะนี้ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวโดยเฉพาะต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และยังส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของรัฐบาลในระยะกลางจนถึงระยะยาว ในมุมมองของเรานั้น ยังคงมีความเสี่ยงทางการเมืองในระดับหนึ่ง เพราะเราไม่มั่นใจในปฏิกริยาต่อผลการเลือกตั้งของกลุ่มต่อต้านทักษิณ และกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ นายโอกาวะมองว่า มีความเสี่ยงที่สถานะการคลังของรัฐบาลไทยจะเผชิญกับภาวะขาลง ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ดำเนินนโยบายมากมายตามที่ได้ประกาศเอาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เช่น การรับจำนำข้าวที่ราคา 15,000 บาท หรือ 20,000 บาทต่อตัน โดยขึ้นอยู่กับคุณภาพข้าว และการฟื้นฟูระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะส่งผลให้การใช้จ่ายด้านการคลังของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ เพื่อไทยยังได้วางแผนที่จะจัดหาบริการระบบ WiFi ในจังหวัดต่างๆ และจัดหาแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนประถมทุกคน
“การดำเนินนโยบายต่างๆมากมายโดยไม่มีการจัดสรรรายได้ที่เหมาะสมจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฐานะการคลังของไทย นอกจากนี้ มาตรการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และนโยบายประชานิยมที่ไทยนำมาใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นได้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของสถานะการคลังของไทยแล้ว และหากสถานะการคลังถูกกระทบต่อไป ก็อาจจะเป็นผลเสียต่ออันดับความน่าเชื่อถือในปัจจุบันของไทยด้วย" นายโนกาวะกล่าว