น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย กล่าวให้สัมภาษณ์กับวอลล์สตรีท เจอร์นัลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดว่า ไทยจะยังคงปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าหลักๆ ปรับตัวลดลง
นอกเหนือจากประเด็นค่าเงินบาทแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวกับวอลล์สตรีท เจอร์นัลว่า มาตรการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 40% เป็น 300 บาท หรือประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อวันในกรุงเทพฯนั้น จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2555 แต่กลุ่มนายจ้างก็จะได้ประโยชน์จากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคลซึ่งเธอวางแผนไว้ว่าจะปรับให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 23% จากเดิมที่ 30% และจากนั้นจะปรับลดลงอีกจนถึงระดับ 20% ในปี 2556
น.ส.ยิ่งลักษณ์ยอมรับว่า การปรับขึ้นค่าจ้างจะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ โดยกล่าวว่า "ในช่วงปีแรกนั้น อาจจะมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่เรากำลังให้ความสำคัญกับอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ในขณะนี้ เราคาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างจะช่วยเพิ่มอัตราการอุปโภคบริโภค ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง"
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า รัฐบาลของเธอจะพยายามลดต้นทุนสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่นน้ำมันปรุงอาหารหรือน้ำตาล พร้อมกับกล่าวว่า รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ราคาค้าปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวลดลง
"นี่เป็นมาตรการเบ็ดเสร็จ ถ้าเราดูแลความต้องการพื้นฐานของประชาชนได้ เราก็จะเริ่มจัดการกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศของเราต่อไป เป้าหมายแรกของเราคือเรื่องเศรษฐกิจ การปรับขึ้นค่าครองชีพถือเป็นปัญหาเร่งด่วน เรากำลังทำเพื่อทุกคน" น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว