นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมของสถาบันการเงินของไทยนั้น มีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยสถาบันการเงินไทยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) มีอยู่ทั้งสิ้น 38 แห่ง เป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย 17 แห่ง สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 15 แห่ง บริษัทเงินทุน 3 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 3 แห่ง
โดยสามารถสร้างกำไรได้ในระดับที่ดี สินเชื่อยังคงขยายตัว ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ ณ สิ้นไตรมาส 1/54 มีกำไรสุทธิ กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 17.8 ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย สำหรับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ขณะที่สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ขยายตัว ร้อยละ 13.4 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจและการลงทุนแก่ผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบการ SME ในเกือบทุกภาคธุรกิจ ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL) ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 54 มียอดคงค้างอยู่ที่ 3.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 3.2 ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่เป็นอัตราส่วนใช้วัดความเพียงพอของเงินกองทุนของสถาบันการเงิน เพื่อแสดงถึงความมั่นคง และสามารถรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจนั้น ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2554 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ15.8 และร้อยละ 12.1 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับอัตราส่วนที่ ธปท.กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5
อนึ่ง ตาม พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากเริ่มมีผลบังคับใช้และให้ความคุ้มครองโดยอัตโนมัติมาแล้วตั้งแต่ปี 51 โดยวงเงินคุ้มครองที่เหมาะสมหลังจากที่ศึกษามาอย่างดีแล้วคือวงเงิน 1 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เพื่อให้ประชาชนค่อยๆ ปรับตัว จึงมีการกำหนดให้ทยอยลดวงเงินคุ้มครอง โดยในขั้นแรกจะลดลงเหลือ 50 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.54 และขั้นต่อไปจะเหลือ 1 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 55
“การลดวงเงินคุ้มครองในช่วงนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศและฐานะการเงินของสถาบันการเงินมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ดังนั้นประชาชนผู้ฝากเงินจึงสามารถเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน และไม่ควรตื่นตระหนกจากการปรับลดวงเงินคุ้มครอง" นายสิงหะ กล่าว