รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพฤษภาคมร่วงลง 51.7% จากปีที่แล้ว แตะที่ 5.907 แสนล้านเยน อันเป็นผลมาจากยอดนำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบกับการส่งออกที่ชะลอตัวลง หลังเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศของญี่ปุ่นร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดุลการค้าขาดดุลเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ระดับ 7.727 แสนล้านเยน
ยอดส่งออกของญี่ปุ่นหดตัว 9.8% แตะที่ 4.5391 ล้านล้านเยนในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากการผลิตในอุตสาหกรรมหลักๆอย่างยานยนต์และสินค้าไฮเทคชะลอตัวลง หลังเกิดภัยพิบัติเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วประเทศ นับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ยอดส่งออกปรับลดลง แต่น้อยกว่าเดือนเมษายนที่ร่วงลง 12.7% ส่งสัญญาณว่าอุปทานเริ่มฟื้นตัว
ส่วนยอดนำเข้าขยายตัว 14.7% แตะที่ 5.3117 ล้านล้านเยนในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 17 ติดต่อกัน โดยเหตุผลหลักเป็นเพราะการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นกลับมาใช้โรงไฟฟ้าพลังความร้อนหลายแห่งหลังจากที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี ยอดเกินดุลบัญชีรายได้ ซึ่งบ่งชี้ว่าญี่ปุ่นมีรายได้มากน้อยแค่ไหนจากการลงทุนในต่างประเทศ พุ่งขึ้น 57.5% แตะที่ 1.4581 ล้านล้านเยนในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากได้รับเงินปันผลและกำไรเพิ่มมากขึ้นจากการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินในต่างประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน