นายประพันธ์ ตั้งจารุวัฒนชัย อุปนายก สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณผลผลิตสุกรของไทยและในภูมิภาคเอเชียลดลงเข้าสู่ภาวะขาดแคลน ส่งผลให้ราคาสุกรหน้าฟาร์มปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เช่น ไต้หวัน จากเดิมราคากิโลกรัมละ 112 บาท ขยับขึ้นเป็น 118 บาท, จีนจาก 100 บาทเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขยับเป็นกิโลกรัมละ 102 บาท กัมพูชากิโลกรัมละ 92-94 บาท และลาวกิโลกรัมละ 88-92 บาท เป็นต้น
ที่สำคัญคือราคายังคงมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สุกรของไทย 70 บาท/กิโลกรัม เป็นราคาต่ำสุดในนภูมิภาคนี้และยังถูกคุมราคาโดยภาครัฐ
เหตุที่ผลผลิตสุกรลดลงเป็นจำนวนมาก เกิดจากฟาร์มเลี้ยงสุกรในประเทศแถบเอเชียหลายแห่งรวมทั้งไทย โดยเฉพาะฟาร์มรายย่อยที่ระบบป้องกันโรคยังไม่เพียงพอต่างประสบปัญหาโรคระบาด ทั้งโรคในระบบสืบพันธุ์และทางเดินหายใจในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัส PRRS สายพันธุ์จีนที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 53 และโรค FMD หรือปากเท้าเปื่อยที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
สาเหตุเหล่านี้ส่งผลโดยตรงให้สุกรแม่พันธุ์หายไปจากวงจรการผลิตจำนวนมาก และกระทบต่อเนื่องถึงปริมาณสุกรขุนที่หายไปจากระบบมากกว่า 3,000 ตัวต่อวัน ประกอบกับยังประสบปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่ซ้ำเติมให้สุกรมีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำ จากปัจจัยความเสียหายนี้จึงทำให้ปริมาณเนื้อสุกรในท้องตลาดไม่เพียงพอต่อความต้องการ
นายประพันธ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยแตกต่างจากประเทศอื่นคือ ราคาหน้าฟาร์มของไทยยังถูกรัฐบาลควบคุมอยู่ที่ 70 บาท/กิโลกรัม ซึ่งไม่เป็นไปตามกลไกตลาด
"ควรเห็นใจเกษตรกร มองว่าเป็นโอกาสที่เกษตรกรจะได้ขายผลผลิตในราคาที่อยู่ได้และพอมีกำไร จะได้มีโอกาสยกระดับมาตรฐานฟาร์มและพัฒนาระบบการป้องกันโรคให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ปริมาณสุกรก็จะเพิ่มขึ้น ดีมานด์-ซัพพลายในตลาดก็จะสมดุลกัน ราคาจะปรับตัวเองโดยอัตโนมัติ ในทางกลับกันหากฝืนกลไกตลาด ที่สุดแล้วเกษตรกรไม่สามารถอยู่ได้ต้องเลิกกิจการ" อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุ