นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการ รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้แข็งค่าขึ้นหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ มาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 29.95 -29.97 บาท/ดอลลาร์ ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน ถือว่าแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้
โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งอออกอาหาร สินค้าเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง หากเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย หากเงินบาทมีการแข่งค่าขึ้นมากกว่าก็จะทำให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการแข่งขันที่ลดลง
ทั้งนี้ ภาครัฐควรเข้ามาดูแลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับภูมิภาค นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้รอบคอบ เพราะปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้กระแสเงินทุนไหลเข้าส่วนหนึ่ง
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ในวันนี้ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารแช่เยือกแข็ง และหากจากนี้จนถึงสิ้นปีค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องก็จะกระทบกับเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 30 บาท/ดอลลาร์
กระทรวงพาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ว่าจะขยายตัว 12-15% มีมูลค่าประมาณ 224,600 ล้านดอลลาร์เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้กระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น