นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลในเรื่องการผลิตเห็นว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการบริหารควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการกำหนดราคาสินค้าเกษตรเป็นไปตามกลไกตลาดตามปกติ ไม่ควรกำหนดมาตรการควบคุมราคาเป็นสำคัญ แต่ควรปล่อยให้ราคาลอยตัวเพื่อเป็นแรงจูงใจในการผลิตเพิ่มขึ้น เช่น ไข่ไก่ ที่จากเดิมมีการผลิตประมาณ 9,000 ล้านฟอง/ปี เป็น 15,000 ล้านฟอง/ปี และหมู 900,000 ตัน/ปี เป็น 1,500,000 ตัน/ปี ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากสถานการณ์ราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะศักยภาพด้านการผลิตสินค้าในกลุ่มปศุสัตว์ของไทยที่มีจุดแข็งในหลายๆ ด้าน เช่น การผลิตอาหารสัตว์ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญราคาสินค้าในกลุ่มปศุสัตว์ เช่น หมู และไข่ไก่ ของตลาดอาเซียนยังคงสูงกว่าประเทศไทย 10 - 15% เช่น เวียดนาม ราคาไข่ฟองละ 3.50 บาท ราคาหมูหน้าฟาร์ม 90 บาท/กก. หมูเนื้อแดง 180 บาท/กก. ลาว ราคาหมูหน้าฟาร์ม 83 บาท/กก. หมูเนื้อแดง 155 บาท/กก.
ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า เช่น ประเทศจีนที่ยังคงมีความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรจากไทยที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสทองของประเทศไทยที่จะต้องมีความชัดเจนในการกำหนดนโยบายในการควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัยให้ชัดเจนและเคร่งครัด เพื่อการผลักดันการส่งออกสินค้าในกลุ่มปศุสัตว์ไปยังประเทศจีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20,000 ล้านบาท/ปี
ซึ่งจากการสำรวจราคาจำหน่ายราคาเนื้อหมูแดงในมณฑลกวางตุ้งขณะนี้มีราคาหมูเนื้อแดงอยู่ที่กิโลกรัมละ 220 - 250 บาท เฉลี่ยยังคงสูงกว่าไทยประมาณ 140 บาท/กก. ส่วนไข่คละอยู่ที่ 6.50 - 10.00 บาท/ฟอง
ดังนั้น เมื่อดูจากข้อมูลประชากรในมณฑลกวางตุ้งอยู่ที่ประมาณ 90 ล้านคน โอกาสในการส่งออกสินค้าภาคปศุสัตว์ของไทยไปยังประเทศจีนยังมีอยู่อีกมาก กระทรวงเกษตรฯ จึงเห็นว่าไม่ควรใช้มาตรการควบคุมราคาซึ่งนอกจากไม่ส่งผลดีต่อการแข่งขันทางการตลาดแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบในด้านอื่นๆ ตามมาอีกด้วย