น.ส.บุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมค้าปลีก-ค้าส่งไทยในปีนี้จะเติบโต 7-8% จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 1.3 ล้านล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น ราคาพืชผลเกษตรอยู่ในระดัยสูง เช่น ยาง ข้าว น้ำมันปาล์ม อ้อย และถั่วเหลือง เป็นต้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ประกอบกับ รัฐบาลปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นและปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ทำให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นไปด้วย
นอกจากนั้น ปัจจัยทางการเมืองเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น การเลือกตั้งที่ผ่านมีกระแสเงินสะพัดในธุรกิจค้าปลีกถึง 4-5 หมื่นล้านบาท และเมื่อการเมืองมีความชัดเจนแล้วก็คาดว่าเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีก มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามแผนงานของแต่ละบริษัทที่วางไว้ คาดว่าในปีนี้ธุรกิจค้าปลีกจะขยายพื้นที่มากกว่า 5 แสนตารางเมตร
ประธานสมาคมฯ มองว่านโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วันของรัฐบาลชุดใหม่ ถ้าสามารถทำได้จริง ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก โดยคาดว่ายอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆจะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่นโยบายดังกล่าวจะทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับต้นทุนสินค้าแต่ละประเภท
"การขึ้นค่าแรง 300 บาท ก็ทำให้แรงงานมีเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆมากขึ้น ซึ่งยอดขายคงเติบโตหลายเท่าตัว แต่จะทำให้สินค้าปรับราคาขึ้นไหมนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต เราเป็นเพียงปลายน้ำ"น.ส.บุษบา กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.บุษบา ได้ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศว่า อยากให้มีการจัดตั้งหน่วยงานของภาครัฐขึ้นมาดูแลอุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่งโดยตรงเหมือนกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อทำการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรองรับการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558
"ไม่อยากให้มองว่าอุตสาหกรรมค้าปลีกเป็นเพียงแค่การซื้อขายสินค้าในแต่ละวัน อยากให้มี strategy ที่ชัดเจน ก็อยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแลธุรกิจค้าปลีก ทั้งในส่วนของพ.ร.บ.และกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง หรือจะมีการทบทวนกฎหมายที่มีอยู่แล้วในสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น และถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะมีการปรับลดภาษีเพื่อให้แข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ ส่วนตัวก็อยากให้เหลือ 0% เลย ถ้าทำได้จริงไทยก็คงเป็นผู้นำของธุรกิจค้าปลีกในอาเซียนได้"น.ส.บุษบา กล่าว
ด้านนายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยในช่วงครึ่งปีหลังคงเป็นไปอย่างรุนแรง หลังได้มีการควบรวมกิจการระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งอาจทำให้มีการแข่งขันทางด้านราคาสูงขึ้น
"ครึ่งปีหลังการแข่งขันคงรุนแรง หลังจากบิ๊กซีควบรวมกับคาร์ฟูร์ ตอนนี้ก็เป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบการจะมุ่งไปสู่การเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น อย่างคาร์ฟูร์ก็เปลี่ยนเป็นบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า โลตัส ก็มีโลตัส เอ็กซ์ตร้า แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อพวกรายเล็กๆ เพราะลูกค้าคนละกลุ่มกัน"นายฉัตรชัย กล่าว