ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดครึ่งปีหลังต่างชาติยังเข้าลงทุนตลาดตราสารหนี้สูง

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 2, 2011 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่เหลือของปี 54 อาจยังคงให้ภาพที่ไม่แตกต่างมากนักจากในช่วง 7 เดือนแรก โดยจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ปัญหาหนี้ในยุโรปและสหรัฐฯ ตลอดจนการเร่งตัวของเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชีย เป็นปัจจัยให้ทางการมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าคงจะส่งผลให้กระแสเงินทุนยังมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยต่อเนื่อง ทำให้การเข้าซื้อสุทธิในตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงน่าจะอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกปี 54 นักลงทุนต่างประเทศซื้อตราสารหนี้สุทธิกว่า 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปริมาณซื้อสุทธิในปี 53 ทั้งปีที่อยู่ที่ 3.2 แสนล้านบาท โดยเน้นไปที่ตราสารหนี้ระยะสั้น ดังจะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปี 53 เป็น 5.6 แสนล้านบาท ในขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาว นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองเพิ่มขึ้น จาก 5.1 หมื่นล้านบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปี 53 เป็น 5.7 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะยังมีโมเมนตัมของการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 54 ประกอบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าสภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่เหลือของปี 54 น่าที่จะยังคงเอื้อต่อความต้องการระดมทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยแม้ว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้อาจมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ตามการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการไทยเพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่การทยอยฟื้นตัวของภาคการผลิตในญี่ปุ่น และเศรษฐกิจโลก ตลอดจน การลงทุนของภาครัฐที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง น่าจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการในการระดุมทุนของภาครัฐ และเอกชนต่อเนื่อง

ในขณะที่ความต้องการลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยที่น่าจะยังมีอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาพอสมควร ในขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อีกทั้งการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ก็น่าจะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน

ประเมินว่าปริมาณการออกหุ้นกู้เอกชนในปี 54 อาจใกล้เคียงกับปี 53 ที่ประมาณ 2.4-2.5 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ก็น่าที่จะมาจากหลายอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ อาทิ บริษัทในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และบริษัทรับเหมาก่อสร้าง อันจะเป็นโอกาสสำหรับการกระจายการลงทุนสำหรับผู้ออมด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ