ในการประชุมสุดยอดระดับทวิภาคีระหว่างนางแองเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และนายนิโคลาซ์ ซาร์โคซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้เสนอให้ประเทศยูโรโซนร่วมกันใช้กฎข้อบังคับในตลาดการเงินมากขึ้น เพื่อรับประกันเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจในยูโรโซน ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความวิตกังวลที่ว่าวิกฤตหนี้ยูโรโซนจะรุนแรงมากขึ้น และเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่กำลังชะลอตัวลง
ข้อเสนอของนางแมร์เคลและนายซาร์โกซีครอบคลุมถึง การบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจร่วมกัน, การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมด้านการเงิน และการกำหนดเป้าหมายการลดยอดขาดดุลงบประมาณของประเทศสมาชิกยูโรซน นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของยูโรโซรและการต่อสู้กับวิกฤตหนี้สาธารณะ รวมทั้งผลักดันให้ 17 ชาติสมาชิกของยูโรโซนในการใช้นโยบายร่วมกันมากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเงิน
ผู้นำทั้งสองยังได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยูโรโซนใช้มาตรการลดยอดขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะอย่างจริงจัง โดยเยอรมนีและฝรั่งเศสได้อนุมัติให้มีการใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อควบคุมการใช้จ่ายสาธารณะ และช่วยควบคุมการขยายตัวของงบประมาณการใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการประชุมผู้นำฝรั่งเศสและเยอรมนีไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนในตลาดการเงินคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป เนื่องจากผู้นำทั้งสองไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับมาตรการต่างๆที่จำเป็น รวมถึงการเพิ่มขนาดของกองทุนรักษาเสถียรภาพยุโรป (EFSF) หรือการออกพันธบัตรสกุลเงินยูโร ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ การประชุมผู้นำฝรั่งเศสและเยอรมนียังมีขึ้นหลังจากประเทศยูโรโซนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเมื่อวานนี้ ยูโรสแตทรายงานว่า เศรษฐกิจของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรร่วมกัน หรือ ยูโรโซน ขยายตัวเพียง 0.2% ในไตรมาส 2 เทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.8% และเทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะขยายตัว 0.3%
รายงานระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัวมาจากเศรษฐกิจเยอรมนีที่ขยายตัวเพียง 0.1% ในไตรมาส 2 หลังจากที่ขยายตัว 1.3% ในไตรมาสแรก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า เศรษฐกิจโดยรวมในยูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรง