นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตตรี(ครม.)สัปดาห์หน้า พิจารณาต่ออายุมาตรการลดภาระค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยการต่ออายุมาตรการให้บริการรถเมล์ รถไฟฟรี ต่อไปจนถึง 31 ธ.ค.54 มองว่าเป็นมาตรการที่ประชาชนได้ประโยชน์จากการใช้บริการจากรถเมล์ฟรีวันละ 4 แสนคน และรถไฟฟรีวันละ 50,000 คน คาดว่าจะมีภาระค่าใช้จ่ายจากมาตรการดังกล่าว 310 ล้านบาท/เดือน
อย่างไรก็ตาม กรณีการจ่ายเงินชดเชยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีการประเมินภาระค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน เนื่องจากออกตั๋วโดยสารให้ผู้ใช้บริการ แต่กรณีองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะใช้การประเมินโดยคร่าวๆเท่านั้น ดังนั้น รัฐบาลจะชดเชยตามต้นทุนที่แท้จริง จึงจะต้องมีการตรวจสอบจากผู้ประเมินอิสระเพื่อให้การชดเชยมีความโปร่งใสตรวจสอบได้
"มาตรการดังกล่าวจะต่ออายุเป็นคราวๆไป หรือจะเป็นมาตรการถาวร คงต้องศึกษาความเป็นไปได้ความเหมาะสม การแยกบัญชี การคำนวณต้นทุนที่แท้จริงให้ชัดเจน" นายธีระชัย กล่าว
ส่วนมาตรการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วย ไม่ต้องมีการพิจารณาต่ออายุมาตรการ เนื่องจากปัจจุบันได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ระบบการใช้ไฟฟ้าอยู่แล้ว ซึ่งผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยไม่ต้องชำระค่าไฟฟ้า
สำหรับการเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่จะสิ้นสุดก.ย.นี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงพลังงานและนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป โดยคำนึงถึงหลักการต่างๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป รวมไปถึงแนวทางการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันหรือเก็บเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันว่าจะมีผลทำให้โครงสร้างภาษีน้ำมันแต่ละประเภทแต่กต่างกันอย่างไร
รมว.คลัง กล่าวว่า มาตรการสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรกและรถคันแรก เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงจะดำเนินการตามนโยบายของพรรคเพื่อไทย แต่ขณะนี้คงต้องรอให้นายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงนโยบายต่อสภาก่อน และจะมีการกำหนดรายละเอียดของมาตรการต่อไป
"บ้านหลักแรก รถคันแรก ยังไม่ตกผลึกในเงื่อนไขและกิตกา แต่ผู้ผลกระทบต่องบประมาณเพื่อดูนโยบายทางการเงิน และในแง่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจะมีผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ก็ไม่อยากพูดให้คนที่มีแผนจะซื้อรถซื้อบ้านต้องรอ เพราะการที่มีการพูดทำให้คนหยุดชะลอดูมาตรการ" รมว.คลัง กล่าว
นายธีระชัย กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกขณะนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งปัญหาของยุโรปและสหรัฐอาจจะลุกลามมาถึงเอเซียได้ จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องมองไปข้างหน้าเพื่อเฝ้าระวัง ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้
ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายและแผนบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ในสัปดาห์ถัดไปจะได้เรียกประชุมคณะกรรมการติดตามภาวะเศรษฐกิจ ที่มีตนเองเป็นประธาน เพื่อร่วมรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจต่างประเทศ รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะ หารือเกี่ยวกับกระบวนการให้ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัว เพื่อเพิ่มผลิตผลและเพิ่มทักษะแรงงาน
รมว.คลัง ยังปฎิเสธที่จะให้ความเห็นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 24 ส.ค.54 ที่จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ โดยกล่าวเพียงว่า ยังไม่ได้มีการนัดเวลาเพื่อหารือกับผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย แต่คาดว่าจะหารือร่วมกันหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาล
ขณะที่ประเด็นเรื่องการเก็บภาษีการโอนหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(INTUCH)ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กับนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ถือว่ามีข้อยุติแล้ว เนื่องจากกรมสรรพากรได้พิจารณาและนำเสนอเรื่องมาที่กระทรวงการคลังในรัฐบาลก่อน และกระทรวงการคลังได้รับทราบแล้ว ขณะนี้เหลือเพียงการพิจารณาการเก็บภาษีของ บริษัท แอมเพิลริช ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรพิจารณา
"เรื่องเก็บภาษีลูกคุณทักษิณถือว่าจบแล้ว ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือ คุณทักษิณ เป็นอำนาจหน้าที่เด็ดขาดในระดับกรมสรรพากร ซึ่งถือว่ากระทรวงการคลังไม่เกี่ยวแล้ว ส่วนแอมเพิลริชได้รับทราบว่าอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีพิจารณา" รมว.คลัง กล่าว