ปธ.แบงก์ ออฟ ไชน่าชี้เงินหยวนควรแข็งค่าทีละน้อย หวั่นกระทบผู้ส่งออก

ข่าวต่างประเทศ Friday August 19, 2011 18:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายหลี่ หลี่ฮุย ประธานธนาคารแห่งประเทศจีน (แบงก์ ออฟ ไชน่า) กล่าวว่า เงินหยวนของจีนควรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ควรแข็งค่าขึ้นทีละน้อย

สำนักข่าวซินหัวรายงานคำกล่าวของนายหลี่ที่มีขึ้นก่อนเปิดการเจรจาธุรกิจจีน-สหรัฐซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ โดยเขาระบุว่า "การแข็งค่าอย่างรวดเร็วจะส่งผลรุนแรงต่อผู้ประกอบการจีน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจส่งออก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวมของจีน"

ทั้งนี้ เงินหยวนแข็งค่าขึ้นกว่า 20% แล้ว เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์นับตั้งแต่จีนเลิกผูกติดเงินหยวนกับเงินดอลลาร์ในปี 2548 อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยน โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 2.33%

"เราหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนและดอลลาร์จะยังคงมีเสถียรภาพ" นายหลี่กล่าว โดยแบงก์ ออฟ ไชน่า ถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศมูลค่ากว่า 2.00 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ นายหลี่ได้แสดงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลสหรัฐในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ โดยระบุว่า "ในบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหมดนั้น เศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งที่สุด โดยในระยะยาว รัฐบาลสหรัฐจะพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากปัญหาได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สหรัฐก็จะยังเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก"

ขณะเดียวกัน นายหลี่ยังได้กล่าวถึงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบใหม่ในสหรัฐว่า เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาถึงมาตรการนี้ แต่หากมีการประกาศแผนดังกล่าวตนก็คิดว่าจะไม่แรงเท่ากับมาตรการ 2 รอบแรก อย่างไรก็ตาม มาตรการ QE3 จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลก รวมถึงสภาพคล่องในตลาด

เมื่อเดือนพ.ย.2553 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ตัดสินใจซื้อพันธบัตรระยะยาวมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในสิ้นเดือนมิ.ย.2554 เป็นเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งถือเป็นการดำเนินมาตรการผ่อนคลายการเงินรอบสอง ซึ่งภายหลังจากการเกิดวิกฤตหนี้สหรัฐ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าสหรัฐจะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบใหม่

สำหรับการลงทุนระหว่างจีนและสหรัฐนั้น นายหลี่กล่าวว่า "เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนมากมาย การขยายตัวด้านการลงทุนสองทิศทางจะยังคงได้รับผลกระทบ แม้เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ฟื้นตัวในระดับที่เราคาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่เรายังมีความเชื่อมั่นอยู่ และหวังว่าจีนและสหรัฐจะมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งหากผู้ประกอบการจีนเข้ามาลงทุนในตลาดสหรัฐมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย"

ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐเป็นหนึ่งภารกิจที่นายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐต้องเข้าร่วมประชุมในระหว่างการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการตามกำหนดการเยือน 6 วัน โดยการประชุมดังกล่าวมีนายไบเดนและนายซี เจียนผิง รองประธานาธิบดีจีนเข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชื่อดังของทั้งสองประเทศเข้าร่วมประชุม และเป็นความเคลื่อนไหวที่มีขึ้นหลังสหรัฐถูกปรับลดอันดับเครดิตเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อเดือนส.ค. จนทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความปลอดภัยของสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ