นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 23 ส.ค.นี้ ตนจะชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท และขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีเป็นเดือนละ 15,000 บาท ที่จะเริ่มได้ในวันที่ 1 ม.ค.55 นั้น ภาคเอกชนรายใหญ่จะเป็นผู้นำในปรับขึ้นค่าจ้าง เท่าที่ทราบมา บริษัทเครือบริษัทซีพี และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เตรียมพร้อมแล้ว
สำหรับธุรกิจที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณา ซึ่งจะเป็นไปตามกระบวนกฎหมายตามปกติของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
"การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเลิกกองทุนน้ำมัน จะทำให้ผู้ประกอบการทุกรายได้ประโยชน์ แม้การขึ้นค่าจ้างจะทำให้ต้นทุนผลิตสูงขึ้น แต่เชื่อว่าการได้รับส่วนลดจากมาตรการภาษี และราคาน้ำมันถูกลงจะช่วยชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นเมื่อปรับขึ้นค่าจ้างแล้ว อัตราเงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่อยากเห็นต่อมาคือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรทบทวนนโยบายดอกเบี้ยภายในประเทศไม่ให้แพงขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าไม่สูงขึ้นตาม"นายกิตติรัตน์ กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วน คือเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในการเสียภาษี แต่ไม่ยอมเสีย ซึ่งรัฐบาลจะบังคับให้กลับมาเสียภาษีจากมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือ
อีกกลุ่มคือเอสเอ็มอีที่ไม่มีศักยภาพเสียภาษี จะแบ่งความช่วยเหลือ 3 ด้าน คือ 1.ผลักดันให้ทบทวนการจ้างแรงงานที่คุ้มกับประสิทธิภาพการทำงาน 2.กลุ่มที่ต้องได้รับความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรม และจัดหาเครื่องจักรให้ ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังดำเนินการในส่วนนี้ และ3.กลุ่มที่เพิ่มประสิทธิภาพไม่ได้ อาจต้องหยุดผลิต ไปจนถึงเปลี่ยนไปประกอบธุรกิจอื่น