NIDA แนะรัฐผลักดันเอกชนเป็นหัวหอกขับเคลื่อนศก.แทน มองนโยบายเพิ่มรายได้ส่งผลดี

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 23, 2011 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต(MPA)คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)เปิดเผยว่า ตอนนี้หลายฝ่ายกังวลเรื่องการก่อหนี้ของภาครัฐ โดยเกรงว่าจะส่งผลต่อหนี้สาธารณะของไทยให้ปรับตัวสูงขึ้น จนกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยในอนาคต ดังนั้น รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ผลักดันภาคเอกชนและภาคประชาชนให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการลงทุนจากภาครัฐ โดยรูปแบบอาจให้สัมปทานภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการลงทุนก่อสร้างแทนภาครัฐ ซึ่งส่งผลดีต่อฐานะทางการคลังที่มีงบประมาณลงทุนที่จำกัด และส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยได้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมากกว่า

"ท่ามกลางภาวะชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ และวิกฤติหนี้ในยุโรป ดังนั้น การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงต้องปรับยุทธศาสตร์ด้านการค้าการลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยมองว่า ภาครัฐควรผลักดันให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนภาครัฐ เนื่องจากมีความกังวลว่า การก่อหนี้ของภาครัฐจะทำให้หนี้สาธารณะของไทยปรับตัวสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้" นายมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ จะเห็นว่า ในส่วนของนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับภาคประชาชนและภาคเอกชน โดยการเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และการจำนำพืชผลทางเกษตร เป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีรายได้ในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่นโยบายดังกล่าวจะเป็นแรงกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคเอกชนที่ใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 23% ภายในปี 2555 และเหลือ 20% ภายในปี 2556 จะช่วยดึงการลงทุนจากภาคเอกชนไทยและชาวต่างชาติให้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า

ขณะที่นโยบายการค้าระหว่างประเทศนั้น รัฐบาลต้องปรับยุทธศาสตร์การส่งออก แล้วหันมาเน้นขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศจีน อินเดียและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีให้มากขึ้น ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 3,000 ล้านคนหรือคิดเป็น 50% ประชากรของโลก แทนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปที่กำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ โดยดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมต่อการส่งออก ตลอดจนลดอุปสรรคการค้า และเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกของภาคเอกชนไทยให้ดียิ่งขึ้น

นายมนตรี กล่าวว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ น่าจะอยู่ในราว 4% ซึ่งถือเป็นอัตราที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อกรอบอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ที่ 0.5-3.0% มากนัก โดยเชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์เงินเฟ้อจะลดความรุนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการผลิตลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เงินเฟ้อยังมีความรุนแรงในครึ่งปีหลัง ก็เชื่อว่า ธปท.พร้อมที่จะใช้กลไกนโยบายทางการเงินเพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงมากเกินไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ