นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯ จะหารือกับกระทรวงพลังงานถึงการปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันใหม่ เพื่อให้รักษาส่วนต่างราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ไว้ที่ 10-15% หากมีการลดกรจัดเก็บเงินจากเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันตามนโยบายของรัฐบาล
ปัจจุบัน โครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะมีส่วนต่างราคาระหว่างเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ที่ 10% และเมื่อรวมการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยจะมีส่วนต่างราคา 15-30% ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้แก๊สโซฮอล์มากขึ้น เพราะเป็นพลังงานทดแทนที่มีคาร์บอนต่ำช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
"ได้เสนอแนวคิดการปรับโครงสร้างภาษีที่ไม่ควรบิดเบือนกลไกตลาด ดังนั้นโครงสร้างภาษีใหม่ควรจะเปลี่ยนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งตอนนี้ราคาน้ำมันปรับลดลงบ้างแล้ว จากปัญหาลิเบียและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ถือว่าสถานการณ์ขณะนี้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างภาษี" นายพงษ์ภาณุ กล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า จากการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการในเดือน ก.ย.54 รวมระยะเวลา 5 เดือนนั้นได้ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ 45,000 ล้านบาท จากที่ปกติแล้วการจัดเก็บภาษีน้ำมันจะอยู่ที่ราว 150,000 ล้านบาทต่อปี แยกเป็นน้ำมันดีเซล 100,000 ล้านบาท และเบนซิน-แก๊สโซฮอล์รวม 50,000 ล้านบาท
ส่วนจะมีการต่ออายุมาตการลดภาษีน้ำมันดีเซลอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลชุดนี้ ทั้งนี้หากมีการต่ออายุมาตรการดังกล่าวอีก ก็จะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 55 ด้วยเช่นกัน