นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เฟดจะยังไม่ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่สาม (QE3) ในขณะนี้ ระบุสหรัฐเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง
สำนักข่าวซินหัวรายงานถ้อยแถลงของนายเบอร์นันเก้ที่มีขึ้นในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิงของสหรัฐ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 ส.ค.) ตามเวลาในประเทศไทย
ความท้าทายประการแรกคือการช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวจากวิกฤตและภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นตามมา และประการที่สองคือการทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
"เราพบว่าสหรัฐเผชิญภาวะถดถอยที่ถลำลึกลงไปมากกว่าที่เราคาดไว้ ขณะที่การฟื้นตัวก็อ่อนแอกว่าที่คิด" เมื่อประเมินตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นายเบอร์นันเก้กล่าว
โดยเมื่อคืนนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการปรับทบทวนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐประจำไตรมาส 2 ของปีนี้ที่ระดับ 1% ต่อปี ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ไว้ 1.3% เนื่องจากมีการขยายตัวที่ช้าลงในส่วนของสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ การส่งออกที่ชะลอตัว และการใช้จ่ายที่ลดลงจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น
"ที่สำคัญ การขยายตัวทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศสามารถลดจำนวนคนว่างงานได้อย่างยั่งยืน ซึ่งล่าสุดอัตราว่างงานของสหรัฐอยู่เหนือระดับ 9% อยู่เล็กน้อย" เขาเสริม
อย่างไรก็ตาม นายเบอร์นันเก้คาดว่า สหรัฐอาจมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากอานิสงส์ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูง และภาวะชะงักงันของระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่เป็นผลมาจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่น
ประธานเฟดมองว่า ภาวะตกต่ำอย่างรุนแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตการเงินครั้งประวัติศาสตร์เป็นสาเหตุที่ทำให้การฟื้นตัวในขณะนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่แน่นอน โดยเฉพาะแรงตึงเครียดทางการเงินที่เกิดขึ้นและยังดำเนินอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
นายเบอร์นันเก้เสริมว่า เฟดจะยังเดินหน้าประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากข้อมูลที่ได้รับและเตรียมความพร้อมในการใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้นควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา