นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในเรื่องการเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้น 15,000 บาท/เดือน รวมทั้งนโยบายรับจำนำข้าว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มีรายได้น้อยในประเทศกลายเป็นผู้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็งขึ้นในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากมีกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในจุดนี้จะเป็นผลดีในการช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 55 โตได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2.5%
อนึ่ง ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยรวมแล้ว คาดว่าจะผลักดันให้ GDP ในปี 55 ให้เติบโตได้ราว 5-7%
รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากที่หลายหน่วยงานประเมินว่ากำลังซื้อจากต่างประเทศมีแนวโน้มจะลดลง อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัวนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการหันมาเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนภายในประเทศ ทดแทนการพึ่งพาภาคการส่งออก
พร้อมกล่าวว่า หากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากขึ้น รัฐบาลอาจจำเป็นต้องวางกรอบงบประมาณให้ขาดดุลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีในขณะนี้รัฐบาลจะยังดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณปี 55 เดิม คือ งบประมาณรายจ่าย 2.25 ล้านล้านบาท โดยมียอดขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท
นายกิตติรัตน์ ยังให้ความมั่นใจกับเกษตรกรต่อนโยบายรัฐบาลเรื่องการรับจำนำข้าวเปลือก โดยยืนยันว่าเกษตรกรจะขายข้าวเปลือกได้ดีกว่าหรืออย่างน้อยได้ตามราคาที่รัฐบาลประกาศไว้ตอนช่วงหาเสียง คือ ข้าวเจ้า 15,000 บาท/ตัน และข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท/ตัน โดยหากมีการบริหารจัดการที่ดีก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเข้าไปรับจำนำข้าว ส่วนงบที่ใช้ในการบริหารจัดการคาดว่าจะไม่เกิน 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี มองว่า ในอนาคตจะต้องมีการศึกษาแนวทางการลดพื้นที่เพาะปลูกข้าวในระยะยาว หากการปลูกพืชอื่นทดแทนสามารถให้ราคาที่ดีกว่า เช่น มันสำปะหลัง, อ้อย เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีกว่าจากการปลูกพืชซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากกว่า