นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เผยมอบหมายกรมบัญชีกลางไปศึกษาพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลเรื่องการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะที่ผู้จบปริญญาตรีควรมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาราวกลางเดือน ก.ย.นี้ และคาดว่าจะมีผลตั้งแต่ต้นปี 55
หลักเกณฑ์ทั่วๆ ไป ที่กรมบัญชีกลางได้เสนอมาก็จะเป็นการกำหนดกลุ่มบุคลากรภาครัฐ ที่จะได้รับการปรับเงินเพิ่มในครั้งนี้ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของกระทรวงการคลัง และอัตราเงินเพิ่มที่จะได้รับตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มฯ โดยแนวทางจะดำเนินการจ่ายเป็นเงินช่วยค่าครองชีพ(พ.ช.ค.) ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ทันทีตามอำนาจของกระทรวงการคลัง โดยการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลัง
กลุ่มบุคลากรภาครัฐที่จะพิจารณาปรับเพิ่มรายได้ครั้งนี้จะครอบคลุม 5 กลุ่ม คือ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณ พนักงานราชการ และทหารกองประจำการ ซึ่งตามฐานข้อมูลปัจจุบันมีบุคลากรภาครัฐที่มีเงินเดือนและค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน จำนวน 649,323 คน แบ่งเป็น วุฒิปริญญาตรีขึ้นไปจำนวน 346,365 คน ต่ำกว่าปริญญาตรี โดยรวมถึงทหารกองประจำการจำนวน 302,958 ราย โดยผู้ที่วุฒิปริญญาตรีขึ้นไปจะได้รับเงิน พ.ช.ค.เพิ่มรวมเงินเดือนเป็น 15,000 บาท
สำหรับผู้ที่มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีที่มีรายได้สูงกว่าเดือนละ 9,000 บาท จะเพิ่มเงิน พ.ช.ค.เพื่อให้ฐานรายได้อยู่ที่ 12,285 บาท แต่กลุ่มที่ได้รับเงินเดือนค่าจ้างและทหารกองประจำการที่ได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงประจำไม่ถึง 9,000 บาท ก็จะได้รับเงิน พ.ช.ค.เพิ่มรวมกันให้ได้รับเป็น 9,000 บาทด้วย
นอกจากนี้เพื่อความเป็นธรรมจะมีการปรับเพิ่มรายได้ผู้มีวุฒิปริญญาโทในส่วนของ พ.ช.ค.เพื่อให้มีฐานรายได้อยู่ที่ 15,000 บาทเท่ากัน โดยการดำเนินการครั้งนี้จะใช้เงินงบประมาณราวปีละ 24,533 ล้านบาท ซึ่งได้มีการศึกษาผลกระทบด้านต่างๆ แล้วไม่เป็นปัญหา และเป็นการดำเนินการดังกล่าวระหว่างรอ ก.พ.พิจารณาปรับฐานเงินเดือนที่จะแล้วเสร็จในอีก 6 เดือนข้างหน้า
"การปรับรายได้ดังกล่าวกระทรวงการคลังได้เสนอแนวทางโดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้บุคลากรภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับภาวะค่าครองชีพและเป็นการช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในเดือนมกราคม 2555 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่บุคลากรภาครัฐ สำหรับกลุ่มอื่นๆ ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป" นายวิรุฬ กล่าว