ศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผย ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายหลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 พบว่า ประชาชนผู้บริโภค “ไม่เชื่อมั่นในทุกตัวชี้วัด” เพราะค่าดัชนีที่วัดได้ ต่ำกว่า 100 จุดในทุกตัว ได้แก่ ไม่เชื่อมั่นต่อสถานการ์ทั่วไปของเศรษฐกิจและธุรกิจในปัจจุบันเพราะได้เพียง 49.0 จุด แต่ถ้าในอีก 3 เดือนข้างหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปของเศรษฐกิจและธุรกิจได้เพิ่มเป็น 82.6 จุด ซึ่งยังไม่ถึงจุดเชื่อมั่น นอกจากนี้ประชาชนยังไม่เชื่อมั่นในเรื่อง รายได้ในปัจจุบันของประชาชนแต่ละคนเพราะมีค่าดัชนีที่วัดได้เท่ากับ 70.6 จุด และในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนก็ยังไม่เชื่อมั่นในเรื่องรายได้ของตนเช่นกันเพราะมีค่าดัชนีเท่ากับ 98.7 จุด ซึ่งก็ยังเป็นค่าที่ต่ำกว่า 100 จุดอันเป็นค่าอ้างอิงของความเชื่อมั่น ยิ่งไปกว่านั้น ค่าดัชนีที่ค้นพบต่ำที่สุดได้แก่ ราคาสินค้าอุปโภค — บริโภคในปัจจุบัน ประชาชนไม่เชื่อมั่น เพราะมีค่าดัชนีที่วัดได้เพียง 15.6 จุด และในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤต คือได้เพียง 36.0 จุดเท่านั้น
เมื่อวัดความเชื่อมั่นในเวลาที่เหมาะสมซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ พบว่า ประชาชนผู้บริโภคยังไม่เชื่อมั่น เพราะวัดค่าได้เพียง 33.5 จุดซึ่งเป็นค่าที่ต่ำกว่าค่าอ้างอิงที่ระดับ 100 จุดและในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนผู้บริโภคยังคงไม่เชื่อมั่นในเวลาที่เหมาะซื้อสินค้าคงทนเช่นกัน เพราะค่าที่วัดได้เท่ากับ 35.3 จุดเท่านั้น เช่นเดียวกัน ประชาชนผู้บริโภค ไม่เชื่อมั่นต่อโอกาสในการหางานทำ เพราะวัดค่าได้เพียง 37.8 จุดอันเป็นค่า ต่ำกว่าค่าอ้างอิงที่ระดับ 100 จุด และในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนผู้บริโภคก็ยังไม่เชื่อมั่นต่อโอกาสในการหางานทำ เพราะวัดค่าได้เพียง 51.0 จุด และเมื่อประเมินความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวมพบว่าอยู่ที่ 51.01 จุด หมายความว่า ประชาชนผู้บริโภคยังไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนในเวลานี้เพราะเป็นค่าที่ต่ำกว่าค่าอ้างอิงที่ระดับ 100 จุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคระหว่าง ช่วงปลายของรัฐบาลนายก อภิสิทธิ์ กับ ช่วงแรก หลังจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ 1 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงแรก หลังตั้งคณะรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ 1 ปรับตัวสูงกว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงปลายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชาชีวะในเกือบทุกตัวชี้วัด ยกเว้น เรื่องการวางแผนซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ที่ยังไม่มีการปรับตัวดีขึ้นแต่อย่างใด รวมถึงโอกาสหางานทำในปัจจุบันด้วย
ที่น่าเป็นห่วงคือ ผลสำรวจหลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ 1 พบว่า คนรวยมีรายได้สูง ก็ ยิ่งเห็นว่ารายได้ปัจจุบันของตนเองดีขึ้น ในขณะที่คนมีรายได้น้อย ก็ยังมองว่ารายได้ปัจจุบัน “แย่ลง” มากกว่าคนที่มีรายได้สูง โดยพบว่า คนรายได้มากกว่า 75,000 บาทร้อยละ 42.3 เห็นว่ารายได้ของตนเองในปัจจุบันดีขึ้น แต่คนที่มีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทที่มองว่ารายได้ของตนเองดีขึ้นมีอยู่เพียงร้อยละ 7.6 เท่านั้น แต่ผู้มีรายได้น้อยกลุ่มนี้ร้อยละ 39.3 มองว่ารายได้ปัจจุบันของพวกเขากำลังแย่ลง
นายอุดม หงส์ชาติกุล ผู้อำนวยการโครงการ ABAC Consumer Index บัณฑิตวิทยาลัยบริหารธุรกิจ กล่าวว่า ความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสภาวะเศรษฐกิจหลังตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 เกิดจากปัจจัยลบ คือ กระแสข่าวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ประชาชนผิดหวังในเรื่อง ค่าแรง 300 บาทต่อวัน และเงินเดือน 15,000 บาทของผู้จบปริญญาตรี รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังสูงอยู่ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาภัยพิบัติที่กระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และความวุ่นวายทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวก ที่ส่งผลทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นกว่าช่วงปลายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือ แนวนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่มุ่งไปยังการกระตุ้นเศรษฐกิจประชาชนรากหญ้าและระดับครัวเรือน เช่น การเพิ่มรายได้ การปรับลดราคาน้ำมัน ราคาเนื้อหมูที่เริ่มลดลง แต่อย่างไรก็ดีระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวมยังไม่พ้นขีดวิกฤตที่จะมุ่งสู่ระดับเชื่อมั่นได้ในช่วงเวลานี้
“รัฐบาลควรเร่งสร้างให้เกิดความชัดเจน เกี่ยวกับการปฏิบัติขับเคลื่อนนโยบายที่ได้ประกาศไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มรายได้และ ลดภาระค่าครองชีพ ลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดยเฉพาะกับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในขณะนี้” นายอุดม กล่าว
ด้านนายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคฯ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ปรับตัวสูงกว่าช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ยังอยู่ในขอบเขตวิกฤตโดยเฉพาะเรื่องราคาสินค้า และมีข้อมูลที่ยังคงตอกย้ำว่า คนรวยก็รวยมากยิ่งขึ้น คนจนก็ยังจนเหมือนเดิมและจะแย่ลงไปอีก และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเพียงการตอบรับเชิงจิตวิทยาต่อตัวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1
แต่ถ้าในอีก 3 — 4 เดือนข้างหน้า รัฐบาลยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าได้ชัดเจน และชาวบ้านยังสับสนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาคือ ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่น่าจะพ้นขีดวิกฤตได้ และไม่มีพลัง ที่มากพอจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสู่ดุลยภาพโดยรวมได้
“ทางออกคือ รัฐบาลต้องเปลี่ยน “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” มาเป็น “พลังศรัทธา” และวางใจต่อการทำงานของรัฐบาล ทางออกคือ 1) เผยแพร่ข้อมูลข่าวดีที่เป็นจริงอย่างต่อเนื่องกระตุ้นความศรัทธาของสาธารณชนต่อรัฐบาล 2) เน้นนโยบายปฏิรูปกฎหมายเอื้อต่อการเสริมความแข็งแกร่งในระบบเศรษฐกิจรากหญ้า เช่น สัญญาธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมในกลุ่มผู้ประกอบการระดับรากหญ้า การถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และสัญญาข้อผูกมัดที่ หลอกหลวงประชาชน และ 3) เน้นนโยบายกระจายทรัพยากร เช่น การกระจายกรรมสิทธิ์ถือครองที่ดินทำกินของเกษตรกรระดับปัจเจกบุคคล มากกว่าระดับชุมชนเพียงอย่างเดียว งบประมาณอุดหนุนอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม และระบบพิกัดอัตราภาษีในการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เป็นต้น” นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ เอแบคโพลล์ ได้ศึกษาตัวอย่างผู้บริโภคระดับครัวเรือน อายุ 18 ปี ขึ้นไป ใน 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา จำนวน 2,764 ตัวอย่าง ค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 15 — 31 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา