(เพิ่มเติม) BOI เผยต่างชาติยังมั่นใจไทยไม่มีแผนถอนการลงทุน มองการเมืองยังเป็นจุดอ่อน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 2, 2011 11:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย ถึงผลการศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ประจำปี 54 ระหว่างเดือนก.พ.-มิ.ย.54 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 404 บริษัท พบว่า ในช่วงปี 54-55 ไม่มีนักลงทุนต่างชาติรายใดมีแผนที่จะถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย โดยนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 49.8 ยังวางแผนรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยเท่ากับปัจจุบัน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติร้อยละ 46.8 มีเป้าหมายขยายกิจการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติในกลุ่มที่มีแผนจะขยายกิจการในประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ มีแผนจะขยายกิจการเล็กน้อย ร้อยละ 29 และมีแผนจะขยายกิจการอย่างมาก ร้อยละ 17.8 อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมโลหะ เคมีภัณฑ์ และอิเล็ทรอนิกส์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักลงทุนร้อยละ 3.4 มีแผนที่จะลดขนาดการลงทุนลง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกิจการในอุตสาหกรรมเบา เช่น สิ่งทอ เครื่องประดับ และเครื่องหนัง เป็นต้น

สำหรับปัจจัยลำดับต้นที่นักลงทุนมองว่าเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ได้แก่ การให้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ และมาตรการสนับสนุนอื่นๆ ของภาครัฐ ความพร้อมของการมีโครงสร้างพื้นฐาน และการมีแรงงานฝีมือเพียงพอและอัตราค่าจ้างแรงงานมีความเหมาะสม รวมทั้งการมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เข้มแข็ง

ส่วนปัจจัยที่นักลงทุนมองว่าส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนมากที่สุด คือ เสถียรภาพทางการเมืองของไทย สภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย เป็นต้น

นอกจากนี้ บีโอไอยังได้สำรวจข้อมูลเชิงลึก ด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมต่างๆ 5 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์กระดาษและพลาสติก อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง อุตสาหกรรมด้านการบริการสาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมเบา รวมทั้งสิ้น 30 บริษัท ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มีความพึงพอใจต่อผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้น โดยไทยมีจุดเด่นในด้านความพร้อมเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้า ด้านสาธารณูปโภค และอุปนิสัยของแรงงาน

ในขณะที่ยังมีจุดอ่อนได้แก่ ความยุ่งยากในการดำเนินงานเพื่อส่งออกสินค้า และการนำเข้าวัตถุดิบ รวมทั้งแนวทางในการกำหนดนโยบายที่แตกต่างกันตามคณะรัฐบาลที่บริหารประเทศ และเสถียรภาพทางการเมือง

สำหรับการเปิดเสรีการค้าภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015 จะทำให้ไทยได้เปรียบในด้านของขนาดของตลาดที่เติบโตมากขึ้น ต้นทุนการนำเข้าของวัตถุดิบถูกลง แต่จะทำให้มีจำนวนคู่แข่งมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน การแข่งขันด้านราคามีสูง เป็นต้น โดยผู้ประกอบการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มั่นใจว่า ประเทศที่มีศักยภาพด้านคุณภาพฝีมือแรงงานมากที่สุด คือ ไทย และ มาเลเซีย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ