สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ ดัชนีภาคบริการที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดของสหรัฐยังทำให้ความต้องการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยนั้น ลดน้อยลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.6 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ 1,873.3 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 1,923.70 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.2 ดอลลาร์ ปิดที่ 41.868 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 6.85 เซนต์ ปิดที่ 4.056 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ดิ่งลง 26.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,858.20 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 33.65 ดอลลาร์ ปิดที่ 749.55 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์ในตลาดทองคำนิวยอร์กกล่าวว่า ในช่วงเช้านั้น สัญญาทองคำทะยานขึ้นแข็งแกร่งหลังจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ประกาศว่าจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนขั้นต่ำเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการแข็งค่าของเงินฟรังค์ แต่หลังจากนั้นเมื่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น สัญญาทองคำก็ร่วงลงมาอยู่ในแดนลบ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ทำให้แรงจูงใจในการซื้อทองคำลดน้อยลง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ พุ่งขึ้นเกือบ 1% แตะระดับ 75.9 จุดเมื่อวานนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังลดการถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.ขยายตัวที่ระดับ 53.3 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ที่ขยายตัว 52.7 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 51.0 จุด
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นอีก เนื่องจากปัจจัยหนุนมากมาย รวมถึงกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป, การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสาม (QE3) ในวันข้างหน้า