นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับธนาคารโลกและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับบทบาทของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ไม่ควรดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์ แต่ควรทำหน้าที่ในการเป็นช่องทางการเงินในส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถให้บริการได้ ดังนั้น จึงเห็นว่าจะต้องธนาคารของรัฐจะต้องทบทวนหน้าที่กลับสู่เป้าหมายหลัก
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการจัดทำแนวนโยบายเพื่อให้คณะกรรมการของธนาคารัฐได้ปรับตัว โดยจะเร่งรัดให้ธนาคารของรัฐมีการจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชีสากลภายในปี 54 ธนาคารรัฐแห่งใดมีการตั้งสำรองต่ำกว่าเกณฑ์จะต้องมีการตั้งสำรองให้ครบ ให้จ้างผู้สอบบัญชีภายนอกที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เข้ามาตรวจสอบงบการเงิน พร้อมทั้งให้มีการออกงบการเงินในรูปแบบมาตรฐานสากลและเปิดเผยอสาธารณะ เช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ให้ธนาคารรัฐมีการจัดทำ Rating ทั้งองค์กรและหุ้นกู้ เพื่อนำมาใช้เป็นการภายในประกอบการตรวจสอบของกระทรวงการคลัง และให้ยึดคำสั่งหรือผลการตรวจสอบของ ธปท.เป็นหลัก หากมีความเห็นว่าจะต้องมีการปรับปรุงบัญชีเพื่อสะท้อนผลขาดทุน หรือตั้งสำรองลูกหนี้รายใดๆ จะต้องปฎิบัติทันทีโดยไม่มีข้อถกเถียงหรือข้ออ้างใดๆ
"แบงก์รัฐมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น แต่การตรวจสอบไม่เป็นมาตรฐานทำให้การตรวจสอบไม่ชัดเจน...ที่ผ่านมา แบงก์ชาติไม่มีอำนาจสั่งการการแบงก์รัฐ ก็จะมีการถกเถียงกัน และส่งเรื่องมาที่คลัง ดังนั้นคลังจึงต้องออกเป็นนโยบาย และให้ยึดการตรวจสอบของแบงก์ชาติ หากไม่ทำตามคงต้องมีการเปลี่ยนบอร์ด" นายธีระชัย กล่าว
สำหรับการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล ต่อไปจะต้องมีการตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยอย่างชัดเจน และทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีการหมกเม็ดอีก และการปรับบทบาทของธนาคารรัฐครั้งนี้ หากต้องกระทบต่อฐานะเงินกองทุน กระทรวงการคลังพร้อมที่จะเพิ่มทุนให้
นายธีระชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มีข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการภาษี ที่จะมีการยกเว้น หรือลดอัตราภาษีการโอนทรัพย์สินเข้ากองทุน ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการโอนและจดจำนอง เนื่องจากไม่ใช่การขายทรัพย์สินที่แท้จริง แต่เป็นการขายให้ SPV เพื่อออกตราสารหนี้ นอกจากนี้จะยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะบุคคลธรรมดา จากเงินปันผล เป็นเวลา 10 ปี ส่วนนิติบุคคลจะไม่มีการยกเว้นภาษี และกำหนดเงื่อนไขโครงการต้องเป็นโครงการสาธารณปโภค เช่นน้ำประหฃปา น้ำเสีย ไฟฟ้า การขนส่ง คาดว่าจะยกร่างกฎหมายเพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ครม.อีก 2 สัปดาห์